NEWS

NEWS, ข่าวสาร

รู้จัก SPF และ PA++ ในครีมกันแดด

การผลิตครีมกันแดด ที่มีประสิทธิภาพนั้น เราต้องมาทำความรู้จักกับ ค่า SPF กับ ค่า PA

ซึ่งเป็นส่วนผสมที่อยู่ในครีมกันแดด ผลิตภัณฑ์กันแดดมีความจำเป็นมาก โดยเฉพาะแสงแดดที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆทุกปี ทำให้เซลล์ผิวหนังสร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำขึ้น และปัญหาผิวหนังด้านอื่นๆ ก็ตามมาด้วย คือ ฝ้า กระ หากได้รับแสงแดดจัด อาจจะทำให้เกิดอาการผิวแดงหรืออาการผิวหนังถูกแดดเผาได้ นอกจากนี้รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีในแสงแดดยังส่งผลให้มีความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย ในการผลิตครีมกันแดดเราต้องคำนึงถึงด้วย

SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวี (UV) เป็นตัวชี้วัดที่สัมพันธ์กับระยะเวลา ของครีมกันแดดที่จะปกป้องคุณจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) B ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสีแดงและการถูกแดดเผา

ชั้นผิว
UVB มีแนวโน้มที่จะทำลายผิวหนังชั้นนอก ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุด (และอันตรายน้อยที่สุด) ของโรคมะเร็งผิวหนัง มะเร็งเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับการสะสมของแสงแดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนมะเร็งผิวหนังชนิดอื่น เรียกว่ามะเร็งผิวหนัง (Melanoma) เป็นสาเหตุที่เกิดจากการสัมผัสสั้น ๆ และรุนแรงเช่นการถูกแดดเผา

การใช้งานครีมกันแดดอย่างถูกต้อง ควรทาครีมกันแดดก่อนจะออกแดด 20 นาที โดยครีมกันแดดที่มี SPF 30 จะสามารถป้องกันได้นานประมาณ 10 ชั่วโมง แต่การกระจายความเข้มและความยาวคลื่นของรังสี UVB แตกต่างกันไปตลอดทั้งวันและตามสถานที่

การปกป้องชั้นผิวของผลิตภัณฑ์กันแดด

แต่คำนวณนั้นใช้ไม่ได้กับรังสี UVA รังสียูวีเอนั้นนานพอที่จะไปถึงชั้นผิวหนังของผิวหนังคอลลาเจนที่สร้างความเสียหายและเนื้อเยื่อยืดหยุ่น ชั้นนั้นก็เป็นที่ที่เซลล์ที่กระตุ้นการทำให้ผิวคล้ำพบ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมรังสี UVA จึงถูกพิจารณาว่าเป็นผิวสีแทนที่โดดเด่น (มีการใช้รังสี UVA ในเตียงอาบแดด) แม้ว่าหลายคนยังคิดว่าผิวสีแทนดูมีสุขภาพดี แต่จริงๆแล้วมันเป็นสัญญาณของความเสียหายของดีเอ็นเอ – ผิวคล้ำในความพยายามที่ไม่สมบูรณ์เพื่อป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติมซึ่งอาจนำไปสู่การกลายพันธุ์ของเซลล์ กระตุ้นมะเร็งผิวหนัง

SPF

ครีมกันแดดสามารถให้การปกป้องเพียงบางส่วน จากผลกระทบที่เป็นอันตรายของดวงอาทิตย์ การหลีกเลี่ยงสัมผัสกับแสงแดด และการสวมชุดป้องกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีสำคัญในการปกป้องผิวของคุณจากโรคมะเร็งและริ้วรอยก่อนวัย อย่าใช้ครีมกันแดดเพื่อให้ผิวสามารถสัมผัสแสงแดดได้นานขึ้นและต้องระมัดระวังการโดนแดดในช่วงเวลากลางวัน ระหว่าง 10.00 น. ถึง 16.00 น. เป็นช่วงที่รังสีของดวงอาทิตย์รุนแรง และโปรดจำไว้ว่ารังสี UVA จะไม่ลดลงเหมือน UVB เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน หรือเมื่อมืดครึ้ม ส่วนรังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกได้ ทาครีมกันแดด 15 นาทีก่อนออกไปข้างนอกและทาซ้ำบ่อยๆ – อย่างน้อยทุกสองชั่วโมง แม้แต่ครีมกันแดดที่ดีที่สุดก็ทำงานได้ไม่ดี หากคุณไม่ได้ใช้อย่างถูกต้อง

ครีมกันแดดมีปริมาณเท่าใดและฉันควรใช้ซ้ำบ่อยแค่ไหน?

ทำตามคำแนะนำของสมาคมโรคมะเร็งอเมริกัน การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึง – 15 นาทีก่อนออกไปข้างนอกและอย่างน้อยทุกสองชั่วโมง และทาใหม่หลังจากที่มีเหงื่อออกมากใช้ผ้าเช็ดตัวให้แห้งหลังจากกิจกรรมต่าง ที่ทำให้ครีมกันแดดและสารกันแดดลดประสิทธิภาพลงหรือหายไป (การศึกษาหนึ่งบ่งชี้ว่าเป็นการดีที่สุดที่จะทาครีมกันแดดใหม่หลังจาก 15 ถึง 30 นาทีแรกที่สัมผัสแสงแดด)

ครีมกันแดดจะปกป้องฉันจากโรคมะเร็งและริ้วรอยได้หรือไม่?

รูปแบบของรังสีอัลตราไวโอเลต – UVA และ UVB – เป็นที่รู้จักกันเพื่อนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนัง, รอยย่นและริ้วรอยผิว เพื่อให้ได้รับการปกป้องสูงสุดให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่กรองสัดส่วนที่สำคัญของทั้งสองประเภท ครีมกันแดดจำนวนมากมีฉลากที่มีการป้องกัน “คลื่นความถี่กว้าง” แต่การป้องกันรังสี UVA ของพวกเขามักจะไม่เพียงพอ หมายเลข SPF แสดงให้เห็นว่าครีมกันแดดตัวใดมีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVB และการถูกแดดเผามากเท่าใดยิ่งมีการป้องกันมากเท่าไหร่ แต่ค่า SPF พูดได้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับการป้องกันรังสี UVA

หากสนใจผลิตครีมกันแดดในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้>>ที่นี่ <<<

#ผลิตครีมกันแดด #ผลิตครีม #โรงงานรับผลิตครีมกันแดด #โรงงานรับผลิตครีม

ที่มา: https://www.ewg.org/sunscreen/faqs-your-sunscreen-questions-our-answers/

https://www.consumerreports.org/cro/magazine/2015/05/what-does-spf-stand-for/index.htm

https://medthai.com/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%94/

NEWS, ข่าวสาร

TONER , ESSENCE, SERUM และ AMPOULE ต่างกันอย่างไร?

อยากสร้างแบรนด์ของตัวเอง เรามาทำความรู้จักกับ TONER , ESSENCE, SERUM และ AMPOULE ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร 

ความแตกต่างของ Toner,Essence,Serum,Ampoule

ความแตกต่างของ Toner,Essence,Serum,Ampoule

กระแส  Korea beauty กลายเป็นเทรนด์ที่มีความนิยมมากขึ้น อาจมีผลิตภัณฑ์ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนเป็นทางเลือกเพื่อความสวยงาม  การดูแลผิว 10 ขั้นตอนของเกาหลี จึงได้กลายเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของผลิตภัณฑ์และฟื้นฟูผิว เช่นโทนเนอร์,เอสเซ้นต์ , เซรั่มและแอมเพิล ที่มีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอน แล้วผลิตภัณฑ์ เหล่านี้แตกต่างกันอย่างไร?  นี่คือสิ่งที่คุณควรจะต้องทราบหากจะสร้างแบรนด์ของตัวเอง การผลิตสินค้าให้ถูกใจผู้บริโภคตามกระแสความงามจากเกาหลี

TONERS

หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าสองครั้งโทนเนอร์เป็นขั้นตอนที่สามในกิจวัตร Korea-beauty ก่อนอื่น โทนเนอร์ช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว ช่วง pH ที่ดีที่สุดของผิวอยู่ระหว่าง 4.5-6.2 และสามารถถูกกำจัดทิ้งได้โดยการล้างหน้า ในขณะที่น้ำยาทำความสะอาดค่าพีเอชต่ำสามารถช่วยลดความไม่สมดุลนี้ได้ แม้แต่น้ำที่คุณใช้ล้างสารตกค้างก็สามารถทำให้ผิวอยู่ในสภาพเป็นด่างเล็กน้อย โทนเนอร์สามารถช่วยลดผลกระทบเหล่านี้และป้องกันไม่ให้ผิวแห้งหรือผิวมันหลังจากคุณล้างหน้า นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ลบร่องรอยการแต่งหน้าที่คุณอาจหลงเหลืออยู่จากการทำความสะอาดผิวของคุณ นอกจากนี้ในขณะที่โทนเนอร์อเมริกันมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความแห้งและแรงของผลิตภัณฑ์ แต่โทนเนอร์ของเกาหลีส่วนมาก ก็ช่วยปลอบประโลมและความชุ่มชื้น โทนเนอร์เป็นจึงที่นิยมมากในเกาหลีที่ เช่น 7 Skin Method และ Toner Wash Method เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ในการใช้โทนเนอร์เพื่อส่งเสริมผิวเปล่งปลั่ง เป็นลัหษณะของเหลวที่มีน้ำหนักเบาที่สามารถช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระ, สารผ่อนคลายและความชุ่มชื้นในส่วนที่สำคัญ 

ESSENCES

เอสเซ้นส์เป็นหัวใจของการดูแลผิวประจำวันของเกาหลี ลักษณะเหลวเหล่านี้ให้ความชุ่มชื้นอย่างมาก ความชุ่มชื้นที่เหมาะสมคือสิ่งที่ช่วยให้ผิวที่เปล่งประกายส่องสว่างจากภายในสู่ภายนอก นอกจากนี้การมีสิ่งกีดขวางที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวจะช่วยป้องกันปัญหา เช่นการระคายเคืองและช่วยให้ผิวของคุณเปล่งปลั่ง เอสเซ้นส์มากมายยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุเพื่อช่วยบำรุงผิว นึกถึงโทนเนอร์และเอสเซ้นส์ในขั้นตอนการเตรียม ก่อนการบำรุงหลักของเซรั่มคุณ

*หากสนใจสร้างแบรนด์เอสเซ้นส์ของตัวเองสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกับเราได้

SERUMS

เซรั่มน่าจะเป็นหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเนื่องจากเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปเช่นกัน เซรั่มมีแนวโน้มที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้นในส่วนผสมที่ใช้งานสารเหล่านี้เหมือนเจลทำให้ผิวนวล มักจะมีส่วนผสมที่เข้มข้น หมายถึงการเลือกบำรุงอย่างตรงจุดและรักษาปัญหาผิวเช่นจุดด่างดำริ้วรอยและความหมองคล้ำ โดยปกติแล้วเซรั่มจะมีเนื้อสัมผัสที่มีความข้นมากกว่าเอสเซ้นส์

AMPOULES

แอมเพิลถือว่าเป็นเซรั่มเวอร์ชั่นที่เข้มข้นกว่า คิดว่ามันเป็นช็อตบูสเตอร์ มักจะมีส่วนผสมในปริมาณที่สูงขึ้น และจะใช้เวลา จำนวน จำกัด ตัวอย่างเช่นคุณอาจต้องการใช้แอมป์แพ็ครายสัปดาห์เพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่มากขึ้น หรือหลังจากเกิดปัญหาผิวหนังครั้งใหญ่ และมักจะเห็นแอมเพิลในขวดเล็กหรือขวดหยดเล็ก ๆ 

ถ้าจะต้องเลือกใช้ระหว่าง Serums หรือ Ampoules อันนี้ก็ต้องดูสภาพผิวของแต่ละคนในช่วงระยะเวลา ๆ นั้นด้วยค่ะว่าเผชิญอะไรมาบ้าง ผิวตอนนี้มีความมันหรือผิวแห้งกร้าน หรือผิวขาดน้ำกันแน่ อันนี้ก็ต้องพิจารณากันแบบ case by case ค่ะ แต่ถ้าถามว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังไงแนะนำว่าให้ลง Essence (น้ำตบ) > Serum (เซรั่ม) > Ampoules (แอมเพิล) > Cream (ครีม)

*พื้นผิวแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปคือการใช้เอสเซ้นส์->เซรั่ม->แอมเพิล ในลำดับจากบางที่สุดไปยังหนาบนผิวหน้าของเรา วิธีนี้ช่วยให้ผิวสามารถดูดซึมได้ดีที่สุด และยังจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของผลิตภัณฑ์ ให้ดีขึ้นอีกด้วย

สนใจผลิตสินค้าสร้างแบรนด์ของตัวเอง หรือขอปรึกษาได้ที่ 02-346-8222 -4 หรือ  Click!!!  

#SERUM #ESSESNCE #AMPOULES #โรงงานผลิตเครื่องสำอาง #โรงงานผลิตครีม #ผลิตเซรั่ม 

ที่มา: https://www.pibuu.co/2017/09/15/whats-the-difference-between-a-toner-essence-serum-and-ampoule/

NEWS, ข่าวสาร

Finished For COSMEX 2019 (OEM/ODM)

จบลงอย่างสวยงาม สำหรับCOSMEX2019 งานสำหรับ เทคโนโลยี นวัตกรรม และผู้รับผลิต OEM / ODM สำหรับการผลิตเครื่องสำอาง อาหารเสริมและบรรจุภัณฑ์ความงามและสุขภาพ

ilc-cosmetic/cosmex2019-00

ILC ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความสนใจและไว้วางใจให้เราได้ดูแลและบริการลูกค้าทุกท่าน ทาง ILC ผู้รับผลิต OEM / ODM สำหรับการผลิตเครื่องสำอาง มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสเป็นส่วหนึ่งของแบรนด์ลูกค้าทุกท่านในงาน COSMEX2019 แล้วพบกันใหม่ปีหน้าค่ะ

ในวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC) เข้าร่วมงาน COSMEX 2019 ณ ไบเทคบางนา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่สนใจสร้างแบรนด์และผลิตสินค้าเป็นอย่างดี โดย ILC เป็นโรงงานรับผลิตเครื่องสำอางชั้นนำ ที่ดำเนินกิจการมากว่า 50ปี ด้วยคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ไว้วางใจให้กับลูกค้ามายาวนาน พร้อมได้รับรองมาตรฐานคุณภาพ GMP, ISO22716, ISO9001:2015, ISO14001:2015, HALAL, HALAL MUI และอื่นๆอีกมากมาย ด้วยทีมงานคุณภาพที่พร้อมจะดูแลและให้บริการแบบครบวงจร

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของลูกค้าและสร้างฝันของลูกค้าให้เป็นจริงได้

แต่หากใครพลาดงาน COSMEX2019 ในปีนี้ก็ยังสามารถติดกับเราได้ที่นี่ CLICK!!

ภาพบรรยากาศงาน Cosmex2019

ilc-cosmetic/cosmex2019-001

ilc-cosmectic/cosmex2019-002

ilc-cosmetic/cosmex2019-003

ilc-cosmetic/cosmex2019-004

ilc-cosmetic/cosmex2019-005

#ILC #โรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง #รับผลิตครีม #โรงงานผลิตครีม #สร้างแบรนด์ครีม

Make Up in New York 2019
NEWS, ข่าวสาร

ILC รับรางวัล “ต้นไม้แห่งนวัตกรรม” ในงาน MakeUp in New York 2019

ILC รับรางวัล “ต้นไม้แห่งนวัตกรรม” ในงาน MakeUp in New York 2019

ILC บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด ได้รับรางวัล “ต้นไม้แห่งนวัตกรรม” ( the Innovation Tree Expert Committee) ในงาน Make Up in New York 2019 ด้วยสูตรตัวยา  “BLUEFLORACAP BUTTERFLY PEA EYEBROW PENCIL” สารสกัดจากดอกอัญชัน

งาน Make Up ครั้งที่ 9 ที่นิวยอร์กได้จบลงไปแล้ว และ ILC มีความภาคภูมิใจที่ได้รับ “รางวัลต้นไม้แห่งนวัตกรรม” ( the Innovation Tree Expert Committee) เป็นครั้งแรกในปี 2562 เราดีใจที่สูตร BLUEFLORACAP BUTTERFLY PEA EYEBROW PENCIL ได้รับเลือกสำหรับรางวัลนี้ที่นิวยอร์ก รางวัลต้นไม้แห่งนวัตกรรมจะเป็นการคัดเลือกนวัตกรรมที่ดีที่สุดที่มาจากโชว์ของ Make Up ในแต่ละครั้งโดยกรรมการผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลที่จะใช้เวลาทั้งวันในการคัดเลือกว่าผลิตภัณฑ์ใดที่จะเป็นเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในอนาคต มีการจัดแสดงการคัดเลือกนี้บนต้นไม้ในระหว่างการแสดงโชว์ และในปีนี้ทางทีมงานในนิวยอร์กได้มอบรางวัลระดับสากลนี้ให้กับ ไอ แอล ซี สำหรับนวัตกรรมใหม่ ของเราที่ชื่อว่า “BLUEFLORACAP BUTTERFLY PEA EYEBROW PENCIL”

 

เรามุ่งมั่นพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ด้วยนวัตกรรมความสร้างสรรค์ที่ได้คิดค้น วิจัย พัฒนาสูตรด้วยความใส่ใจพิถีพิถัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพ และทันสมัยให้แก่ผู้บริโภค

NEWS, ข่าวสาร

4 สารต้องห้ามสำหรับใช้ในเครื่องสำอาง

1.ปรอท(mercury)

  • ถูกกำหนดเป็นสารห้ามใช้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสม ใน การผลิตเครื่องสำอาง ลำดับที่ 221 ตามที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่ม125 ตอน พิเศษ 80ง ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2551 โดยกำหนดชื่อสารห้ามใช้ คือ “ปรอท และสารประกอบของปรอท” โดยจากการสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมหน้าขาว-หน้าใส จากหลายหน่วยงานพบว่า จำนวนถึงร้อยละ 20 ของผลิตภัณฑ์มีสารปรอทในปริมาณสูงปนอยู่ในระดับหลายพันถึงหลายหมื่นส่วนในล้านส่วน
    สารปรอทมีกลไกการออกฤทธิ์ให้ผิวหน้าขาว จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ทำให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ลดลง จึงช่วยให้สีผิวขาวขึ้น นอกจากนี้ปรอทยัง มี ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ชนิด staphylococcus จึงป้องกันสิวได้ด้วย
    มีผลข้างเคียง ทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ เกิดฝ้าถาวร ผิวบางลง และเมื่อใช้ติดต่อกัน เป็นเวลานานจะทำให้เกิดพิษสะสมของสารปรอทในผิวหนัง และดูดซึมเข้าสู่กระแส โลหิต ทำให้ตับและไตอักเสบ เกิดโรคโลหิตจาง ทางเดินปัสสาวะอักเสบ อีกทั้งในสตรีมีครรภ์ปรอทจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ไปสู่ทารก ทำให้สมองพิการและปัญญาอ่อน หลังใช้หากมีอาการคันหรืออักเสบให้หยุดการใช้และไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อประเมินแนวทางการรักษา

2.ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)

  • จัดเป็นยาทาภายนอกใช้เพื่อการรักษาและได้ถูกสั่งห้ามใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่วางจำหน่ายทั่วไป เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางมักผสมไฮโดรควิโนนในปริมาณสูง ก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กำหนดให้ผสมสารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้าได้ไม่เกิน 2%)
    มีกลไกการยับยั้งกระบวนการทางเคมีของเซลล์สร้างเม็ดสี(melanocyte) โดยไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase)ที่ทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดสี(melanin) เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง จึงส่งผลให้ผิวขาวขึ้นได้ จากกลไกนี้ทำให้ยาไฮโดรควิโนนถูกนำมาใช้เป็นยาทารักษาผิวที่เป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำ กระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวในเซล์ลผิวหนัง
    ผลข้างเคียง อาการแสบร้อน ตุ่มแดง และภาวะผิวคล้ำมากขึ้นในบริเวณที่ทา หากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวร เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง ผู้ที่ได้รับยานี้เกินขนาดตัวยาจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีอาการสั่นหรือเกิดภาวะลมชักหรือกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ยาได้
    • วิธีปฎิบัติเมื่อเกิดผลข้างเคียง
    หลังใช้ยานี้ถ้ามีอาการคันหรืออักเสบให้หยุดการใช้ และกลับไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อประเมินแนวทางการรักษาใหม่

3. สเตียรอยด์ (Steroid)

  • เป็นสารที่ห้ามใส่ในเครื่องสำอาง มักใช้เป็นสูตรผสมกับยาตัวอื่น เช่น ไฮโดรควิโนน หรือ เรตินอยด์ในการรักษา ฝ้า กระ และจุดด่างดำ สเตียรอยด์ช่วยในการเสริมฤทธิ์ และช่วยลดอาการข้างเคียงของไฮโดรควิโนน และ เรตินอยด์ ได้ดี
    มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารเคมีสื่อกลาง(mediators) เช่น โพรสตาแกรนดิน(prostaglandin) และลิวโคไตรอีน(leukotriene) ที่ใช้ในการการสร้างเม็ดสี (melanin) ทำให้ปริมาณเม็ดสีลดลงส่งผลให้ผิวขาวขึ้น
    การใช้ยาทาสเตียรอยด์ในความเข้มข้นสูง ใช้ผิดวิธี และ ใช้เป็นระยะเวลานานต่อเนื่องอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผดผื่นขึ้นง่าย ผิวหน้าบาง ทำให้มลภาวะสารพิษจากภายนอกเข้าสู่ผิวหนังชั้นแท้ได้ง่ายขึ้น และเห็นเส้นเลือดแดงตามใบหน้าชัดขึ้น
    หลังใช้หากมีอาการคันหรืออักเสบให้หยุดการใช้ และกลับไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อประเมินแนวทางการรักษาใหม่

4. กรดเรติโนอิก (Retinoic acid)

  • รบกวนกระบวนการสร้างเม็ดสี โดยมีกลไกการออกฤทธิ์คือกระตุ้นการแบ่งเซลล์และเร่งการผลัดเซลล์ของผิวในชั้นอิพิทีเรียล/เยื่อบุผิว (Epitherial) ลดการเคลื่อนย้ายเม็ดสีมาที่เซล์ลผิวหนังและยั้บยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีอีกด้วย นอกจากนี้ยังออกฤทธิ์กดการสร้างและป้องกันการสร้างสิวอุดตัน (Comedone) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวทั่วไป กลไกการออกฤทธิ์ให้ผิวหน้าขาว
    กรดเรทิโนอิกอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ผิวหน้าลอก อักเสบ แพ้แสงแดดได้ง่าย อาจเกิดภาวะผิวด่างขาวหรือผิวคล้ำได้ชั่วคราวและอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ หลังใช้ยานี้ถ้ามีอาการคันหรืออักเสบให้หยุดการใช้ และกลับไปพบแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อประเมินแนวทางการรักษาใหม

“สารไฮโดรควิโนน สเตียรอยด์ และเรตินอยด์ นั้นจัดเป็นยาที่มีประโยชน์ในการรักษา สามารถใช้ได้ภายใต้การดูแลและควบคุมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือซื้อได้ตามร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำร้าน สามารถให้คำแนะนำการใช้ยาอย่างถูกวิธีได้”

แต่สารทั้งสามนี้ห้ามนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางตามที่กระทรวงสาธารณะสุขประกาศ ไม่ควรซื้อมาใช้เด็ดขาด หากผู้บริโภคพบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือได้รับอันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง

 

ขอให้ร้องเรียนที่ สายด่วน อย. โทร. 1556 หรืออีเมล : 1556@fda.moph.go.th หรือ ส่งจดหมายไปที่ ตู้ ปณ.1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบรี 11004 เพื่อ อย. จะได้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ความขาวใสของใบหน้านั้นจัดเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชาย ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงอายุไหน ด้วยเมืองไทยของเราเป็นเมืองที่มีอากาศร้อนและแสงแดดที่แผดเผาไม่ปราณีผิวพรรณทำให้คนไทยส่วนใหญ่นอกจากจะมีสีผิวที่คล้ำแล้วยังประสบปัญหาผิวต่างๆ เช่น ฝ้า กระ และจุดด่างดำ อันเป็นเหตุให้ต้องรีบแก้ไขและทำการรักษาโดยเฉพาะในกลุ่มของผู้หญิงอย่างเราๆ จุดด่างพร้อยบนใบหน้าถือเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดออกไปโดยเร็ว

ปัจจุบันมีผู้ผลิตเครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวออกวางจำหน่ายในท้องตลาดมากมาย ซึ่งเรารู้จักกันในนาม ครีมหน้าขาว (Whitening Products) ครีมหน้าขาวนี้จัดเป็นผลิตภัณฑ์ยอดฮิตในบรรดาสุภาพสตรี เพราะเห็นผลเร็ว ผิวขาวเนียนใสจริง แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น ความขาวใสนี้ จะถูกแทนที่ด้วยอาการข้างเคียง คือ รอยไหม้ดำที่ค่อยๆแผ่วงกว้าง รอยแดง ผื่นแพ้ หน้าบาง ติดเชื้อง่าย ซึ่งใช้เวลาในการรักษานานและในบางรายอาจเป็นถาวร เมื่อผู้บริโภคถูกเอาเปรียบและได้รับผลกระทบจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ อย.จึงเข้ามามีบทบาทในการสืบสวนหาสาเหตุ และได้ประกาศ รายชื่อสารต้องห้ามใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง อันได้แก่ สารปรอท สารไฮโดรควิโนน สเตียรอยด์ และกรดเรติโนอิก เป็นต้น

 

เอกสารอ้างอิง

Indian J Dermatol. TOPICAL TREATMENT OF MELASMA. 2009 Oct-Dec; 54(4): 303–309. Available from: http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2807702/

นางสาวอัจฉราพรรณ ตันติปัญจพร และ รองศาสตราจารย์ ดร.พลังพล คงเสรี. สารปรอทปริมาณสูงในครีมหน้าขาวและการทดสอบเบื้องต้น. 2014 June.  Available from: http://www.sc.mahidol.ac.th/usr/?p=320

อภัย ราษฎรวิจิตร. ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone). 2015 Febuary. Available from: http://haamor.com/th/%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8…

กองพัฒนาศักยาภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. อย. เตือน อย่าซื้อ อย่าใช้ เครื่องสำอางอันตราย 34 รายการ เสี่ยง! หน้าพัง . 2010 July.  Available from: http://www.fda.moph.go.th/www_fda/data_center/ifm_mod/nw/%E0%B8%82%E0%B9…

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. รายชื่อชุดทดสอบกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และสถานที่ติดต่อสั่งซื้อ / ตัวแทนจำหน่ายของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์. 2013 Sep [เข้าถึงเมื่อ 2016 มีนาคม 20]; เข้าถึงได้จาก : http://dmsc2.dmsc.moph.go.th/testkit/index.php?option=com_content&view=a…

NEWS, ข่าวสาร

5วิธีเลือกซื้อเครื่องสำอาง

5วิธีเลือกซื้อเครื่องสำอาง

5วิธีเลือกเครื่องสำอางให้มั่นใจ ปลอดภัยชัวร์

การเลือกซื้อเครื่องสำอางให้ปลอดภัยมี 5 วิธี ดังนี้

1.เลือกซื้อเครื่องสำอางจากร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีการระบุแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ และมีหลักแหล่งแน่นอน เพราะถ้าหากมีปัญหาจะติดต่อผู้รับผิดชอบได้

2.เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทยต้องอ่านมองเห็นได้ชัดเจน และต้องระบุข้อความที่จำเป็น ดังนี้

  • ต้องตรวจสอบเลขที่ใบรับแจ้ง ว่ามีตัวเลขครบ 10 หลัก
  • ต้องดูชื่อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และชื่อทางการค้า ซึ่งต้องมีขนาดใหญ่เด่นชัดกว่าข้อความอื่น
  • ต้องดูประเภทหรือชนิดของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
  • ดูชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง เรียงตามลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย
  • ดูวิธีใช้ผลิตภัณฑ์
  • มี ชื่อ – ที่อยู่ของผู้ผลิต กรณีเป็นเครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศ/ชื่อและที่ต้องของผู้นำเข้า และชื่อผู้ผลิต ประเทศที่ผลิต กรณีเป็นเครื่องสำอางนำเข้า
  • ดูปริมาณสุทธิของผลิตภัณฑ์
  • ตรวจสอบ เลขที่แสดงครั้งที่ผลิต  ,เดือน ปี ที่ผลิต หรือปี เดือนที่ผลิต ,เดือน ปีที่หมดอายุ หรือปี เดือนที่หมดอายุ ในกรณีที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานน้อยกว่า 30 เดือน เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hydrogen peroxide
  • ถ้าฉลากมีพื้นที่น้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร ให้แสดงเฉพาะชื่อเครื่องสำอางและชื่อทางการค้าของเครื่องสำอาง และเลขที่แสดงครั้งที่ผลิต ส่วนรายละเอียดอื่นให้แสดงในเอกสารกำกับเครื่องสำอาง

3. เลือกซื้อเครื่องสำอางต้องมีการบรรจุหีบห่อที่ยังอยู่ในสภาพดี บรรจุภัณฑ์ไม่แตกรั่ว เสียหายและมีเก็บรักษาอย่างดี ไม่อยู่ในที่ร้อน ชื้นหรือโดนแสงแดด

4. ต้องไม่หลงเชื่อคำโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณของผลิตภัณฑ์เกินจริง

5. ก่อนใช้งานผลิตภัณฑ์ใหม่ต้องทดสอบก่อนใช้ทุกครั้ง สามารถตรวจสอบโดยการทาเครื่องสำอางในปริมาณเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขน แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีความผิดปกติก็แสดงว่ามีความปลอดภัย สามารถใช้กับเราได้

เครื่องสำอาง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อความสะอาด และเพื่อความสวยงาม เท่านั้น การอ้างถึงสรรพคุณเกินจริง เช่น สามารถบำบัด บรรเทา รักษาโรค ป้องกันโรค หรือมีผลต่อโครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ต่าง ๆ ของร่างกายที่เป็นสรรพคุณทางยา จะจัดเป็นผลิตภัณฑ์ยาไม่ใช้เครื่องสำอาง

ตัวอย่างเช่น โลชั่นปลูกผม ครีมเสริมสร้างทรวงอก ครีมลดไขมัน สบู่ลดความอ้วน โลชั่นกระชับจุดซ่อนเร้น ครีมฆ่าเชื้อโรค ลดอาการผิวหนังอักเสบ แก้คัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีการแสดงสรรพคุณทางยา ต้องขึ้นทะเบียนเป็นยา

โดยส่วนมากเครื่องสำอางที่ขายในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แชมพู ยาสีฟัน โลชั่นบำรุงผิว น้ำหอม ลิปสติก เครื่องสำอางทาแก้ แต่งตา ทาเล็บ ย้อมผม เป็นต้น จัดเป็นเครื่องสำอางควบคุม ซึ่งต้องมีการมาจดแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนผลิตหรือนำเข้า เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าสามารถใช้เครื่องสำอางอางได้อย่างปลอดภัย

และแม้ว่าการเลือกซื้อเครื่องสำอาง  การเลือกใช้เครื่องสำอางจะเป็นเพียงเพื่อความสะอาดและความสวยงามเท่านั้น แต่ก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ดังนั้นก่อนเลือกซื้อควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นให้ดีเสียก่อน

 

ที่มา:คู่มือ อย.น้อย ปีงบประมาณ พ.ศ.2558 กลุ่มพัฒนาเครือข่าย กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา,www.oryornoi.com

error: Content is protected !!