ข่าวสาร

ข่าวสาร อัพเดทบทความ ความรู้ต่างๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องสำอาง และกิจกรรมภายในต่างๆ จาก บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด (ILC)

ข่าวสาร

ILC รับรางวัล Thailand Trust Mark ประจำปี พ.ศ.2567

บริษัท อินเตอร์เนชันแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด ผู้นำและผู้ผลิตเครื่องสำอางในประเทศไทยเข้ารับรางวัล Thailand Trust Mark ประจำปี พ.ศ.2567 ณ ห้องมโนปกรณ์นิติธาดา ชั้น 12 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

ในวันที่ 11 กันยายน 2567 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จัดงานมอบรางวัล Thailand Trust Mark ประจำปี 2567 ณ ห้องมโนปกรณ์นิติธาดา ชั้น 12 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยในปีนี้บริษัท อินเตอร์เนชันแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด และผู้ประกอบการรวมทั้งหมด 30 ราย ได้รับรางวัลในครั้งนี้

รางวัล Thailand Trust Mark เป็นรางวัลที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมอบให้แด่ผู้ประกอบการที่ผ่านมาตรฐานในเรื่องคุณภาพของแหล่งผลิต การใช้แรงงานที่เป็นธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อเป้าหมายในการส่งเสริมภาพลักษณ์ เอกลักษณ์ของสินค้าไทยและสร้างจุดแข็งของสินค้าไทยบนเวทีโลก เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจบนเวทีนานาชาติได้

ข่าวสาร

ILC ได้รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2567

บริษัท อินเตอร์เนชันแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด ผู้นำในธุรกิจเครื่องสำอางและผู้ผลิตเครื่องสำอางแห่งแรกในประเทศไทย ได้รับรางวัล “อย. ควอลิตี้ อวอร์ด“ ในสาขาสถานประกอบการดีเด่นด้านเครื่องสำอางและสาขาผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่นประเภทนวัตกรรม

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2567 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้จัดให้มีโครงการส่งเสริมคุณภาพการประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพ​ หรือ​ อย.ควอลิตี้​ อวอร์ด​” ครั้งที่ 16 ประจำปี พ.ศ.2567 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

รางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด เป็นรางวัลที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มอบให้แก่สถานประกอบการที่มีคุณภาพมาตรฐาน มีธรรมาภิบาล และมีความรับผิดชอบต่อสังคม จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติและสร้างกำลังใจแก่สถานประกอบการที่มีการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังมีความมุ่งหมายต้องการที่จะกระตุ้นให้ผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

ในครั้งนี้ บริษัท อินเตอร์เนชันแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด ได้รับรางวัลในสาขาสถานประกอบการดีเด่นด้านเครื่องสำอาง และรางวัลผลิตภัณฑ์สุขภาพดีเด่นประเภทนวัตกรรมโดยได้รับเกียรติจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานมอบโล่รางวัลในครั้งนี้ สำหรับรางวัลประเภทนวัตกรรมนั้น บริษัทได้คิดค้น Pure​ Care​ Super​ Nano​ Active​ White​ Intensive​ Moisturizer ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่เกิดจากการนำนวัตกรรม​ Bio​polymer​ Bead​ และสารสกัดเกสรบัวหลวงมารวมไว้ด้วยกัน จนเกิดเป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์​บำรุงผิวสวย​ กระจ่างใส แลดูอ่อนเยาว์​  

บริษัท อินเตอร์เนชันแนล แลบบอราทอรีส์ จำกัด จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย เพื่อผู้บริโภคตลอดไป

ข่าวสาร

DeepFake

DeepFake คลิปปลอมใบหน้าคนดัง เนียนยิ่งกว่า ‘Fake news’

deepfake

เมื่อเทคโนโลยี A.I. ก้าวหน้าไปไกล จนถึงขนาดว่ามีคนทำคลิปปลอม ด้วยการนำใบหน้าคนดังมาสวมเป็นใบหน้าตัวเองได้ ชวนเจาะกระแส DeepFake คลิปปลอมที่เป็นไวรัลในต่างประเทศ ที่อาจแฝงอันตรายยิ่งกว่า “Fake news”


เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสคลิปวิดีโอของคนดังในต่างประเทศ กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์อยู่มากมายหลายชิ้น ที่น่าสนใจคือ คลิปเหล่านั้นเป็น “คลิปปลอม” ในรูปแบบที่เรียกว่า “DeepFake” ถูกทำขึ้นด้วยเทคโนโลยี A.I. โดยการนำใบหน้าของคนดัง (ศิลปิน นักแสดง นักการเมือง เซเลบริตี้) มาสวมใส่แทนใบหน้าของตน ซึ่งการพูดและการเคลื่อนไหวทุกอย่างในคลิป เหมือนว่าเจ้าของใบหน้าตัวจริงมาออกคลิปเอง!
กระแสนี้ทำให้หลายคนอยากรู้ว่าเทคโนโลยี “DeepFake” คืออะไร? คนที่ทำคลิปเหล่านี้ พวกเขาทำมันได้อย่างไร? แล้วสิ่งนี้จะอันตรายยิ่งกว่า Fake news หรือไม่?
DeepFake คืออะไร?
เรื่องนี้มีคำตอบจาก ดร.มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายเดตาโซลูชันส์ภาครัฐ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ซึ่งได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีการทำDeepFake เอาไว้ว่า
“DeepFake เป็นชื่อเทคโนโลยี มาจากคำว่า Deep แปลว่า ลึก Fake แปลว่า ปลอม คือ ปลอมอย่างลึกซึ้ง แปลไทยเป็นไทยคือ มองไม่ออกว่าของปลอม
มันเป็นเทคโนโลยีที่ทำเกี่ยวกับภาพ ทำเอฟเฟ็กต์ได้มากที่สุดคือ ภาพใบหน้าของคน เรานำภาพของนาย A แล้วนำภาพของนาย B มาซ้อนกับนาย A ทำให้นาย A ทำท่าหรือพูดจาตามที่นาย B ต้องการได้ เหมือนชักใยหุ่นกระบอก เพียงแต่ว่าเราต้องใช้วิดีโอในการทำ” ดร.มนต์ศักดิ์ อธิบาย

ดร.มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม ผอ. ฝ่ายเดตาโซลูชันส์ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA)

ดร.มนต์ศักดิ์ โซ่เจริญธรรม ผอ. ฝ่ายเดตาโซลูชันส์ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA)


DeepFake ทำขึ้นมาได้อย่างไร?
การผลิตคลิปวิดีโอ DeepFake จะต้องมีเทคโนโลยี A.I. ที่เรียกว่า Generative Adversarial Network (GAN) เป็นการสอนให้จักรกลอัจฉริยะประมวลผลเชิงลึก (Deep Learning) แปลง่ายๆ ก็คือ มันจะสามารถ merge สองวิดีโอเข้าด้วยกันได้ คือวิดีโอต้นฉบับของจริงจากคนจริง กับวิดีโออีกอันหนึ่งที่คุณอยากจะใช้เป็นต้นทาง เพื่อทำให้มันไปเปลี่ยนปลายทาง
เมื่อก่อนดูภาพอาจจะหลอนๆ นิดหน่อย เพราะมันไม่ละเอียดมาก แต่เดี๋ยวนี้ภาพมีความคมชัดมาก จนแทบจะมองไม่ออก แล้วก็สามารถสร้างสิ่งที่เมื่อก่อนเป็นไปไม่ได้เลย เช่น ทำให้ Barack Obama ใบหน้าหนุ่มขึ้นอีก 20 ปี
ดร.มนต์ศักดิ์ เล่าเพิ่มเติมว่า การทำ DeepFake ในประเทศไทยยังไม่มีปรากฎให้เห็น แต่ในเมืองนอกมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2014 โดยนักวิจัยในต่างประเทศได้สร้าง Generative Adversarial Networks (GANs) พอเริ่มมีอัลกอริทึม มีการปล่อยสูตรออกมา ก็ทำให้มีคนนำเทคโนโลยีนี้ไปพัฒนาให้แอดวานซ์ขึ้นไปเรื่อยๆ และตอนนี้ก็เริ่มมีการสร้างซอฟต์แวร์ตรวจจับพวกนี้มากขึ้นด้วย

deepfake

ที่มาภาพ : ict-imgs.vgcloud.vn, miro.medium.com, i.insider.com, miro.medium.com2

ตัวอย่าง DeepFake ที่โด่งดังในต่างประเทศ

  1. DeepTomCruise
    ที่เห็นได้ชัดคือ แชนแนล TikTok ของนักแสดงชาย Miles Fisher ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้าย Tom เป็นทุนเดิม เขาได้ผลิต Fake วิดีโอขึ้นมาและเผยแพร่ในช่อง DeepTomCruise คอนเทนต์ของเขาคือการทำวิดีโอรูปแบบDeepFake โดยสวมใบหน้าดาราดังอย่าง Tom Cruise แล้วมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น มาเป็นคนทำความสะอาด เป็นพนักงานล้างจาน ฯลฯ ซึ่ง Miles Fisher เคยให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ผ่านสื่อว่าเขาและเพื่อนทำวิดีโอนี้ขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
  2. Linda Carter
    คนนี้เคยเป็นนางงามอเมริกา เมื่อประมาณปี 1976 หรือประมาณ 40 กว่าปีที่แล้ว เธอเคยเล่นหนังเรื่อง Wonder Woman ไว้ ตอนนี้ก็น่าจะอายุ 70 ปีแล้ว พอมีกระแสDeepFake ก็มีคนเอาภาพตอนสาวของเธอมา merge เข้าไปใน Wonder Woman ในเวอร์ชัน 2021 แล้วก็เผยแพร่บนโลกออนไลน์ จนกลายไวรัลไปทั่วโลก
    ความอันตรายของDeepFake สร้างความเสียหายได้
    หากมองอีกมุมหนึ่งDeepFake อาจกลายเป็นเครื่องมืออันตราย ที่สร้างความตื่นตระหนกให้สังคมได้เช่นกัน ยกตัวอย่างกรณีมีคนทำคลิปปลอมในอเมริกา ที่เอาวิดีโอ Barack Obama มา แล้วก็เอาวิดีโอของพิธีกรคนหนึ่ง มาขยับทำปากพูดในเรื่องที่อยากให้ Obama พูด แล้วนำมา merge รวมกัน มันก็จะกลืนภาพเข้าไปกับ Barack Obama ของต้นฉบับ แล้วทำให้ได้ออกมาเป็นคอนเทนต์ที่มันเป็น Fake News คือแถลงเรื่องที่ไม่เป็นจริง หรือพูดเรื่องที่ทำให้เสียหายร้ายแรง
    กรณีนี้ วิดีโอดังกล่าวทำประกาศปล่อยออกมาตอนตี 2 ระบุว่า Barack Obama ขอประกาศลาออก ขอประกาศยุบสภา ขอประกาศการปฏิวัติ ภาวะฉุกเฉินตอนตี 2 กระจายไปทั่ว ทุกคนแตกตื่น เห็นวิดีโอนึกว่าจริง เพราะว่าเอาผู้นำประเทศมาทำเป็น Fake วิดีโอ แก้ข่าวกันไม่ทัน ก็เกิดความเสียหายได้
    สรุปแล้วDeepFake เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์หรือโทษกันแน่?
    ดร.มนต์ศักดิ์ ตอบว่า Deepfake เป็นเหมือนดาบสองคม มีทั้งประโยชน์และอาจจะมีโทษได้ด้วย ประโยชน์คือ ถ้าคุณมี Skill สร้าง Fake วิดีโออะไรก็ได้ คุณจะมีอาชีพที่มีค่าตัวแพงมาก เนื่องจากในวงการสื่อโฆษณาหรือภาพยนตร์ มีความต้องการใช้งานด้านนี้สูงมากในการสร้างหนัง และช่วยลดเวลาการผลิตลงได้ 10 เท่า นี่เป็นโอกาสของแรงงานรุ่นใหม่ที่มี Skill ด้านนี้
    ส่วนในมุมลบ ก็อาจจะมีคนนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด เช่น นำไปสร้างข่าวปลอม Fake news ต่างๆ สร้างความเข้าใจผิด สร้างความตื่นกลัว ตรงนี้คนเสพข่าวสารจึงจำเป็นที่จะต้องรู้เท่าทัน รู้จักคิดวิเคราะห์มากขึ้น แล้วก็อย่าตกเป็นเหยื่อ
    กรณีสื่อมวลชน ควรมีวิธีตรวจสอบข่าวปลอม/คลิปปลอม อย่างไร?
    สื่ออาจจะต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีด้าน A.I. คือ อาจจะตรวจสอบด้วยแรงงานคนไม่ไหวแน่ ก็ต้องมีเทคโนโลยีหรือซอฟต์แวร์ที่มาแก้กัน อย่างน้อยๆ ก็สามารถช่วยฟิลเตอร์ได้ระดับหนึ่ง ซอฟต์แวร์บางตัวจะบอกได้ว่าคอนเทนต์แบบไหนเป็น Fake news ซึ่งมีความแม่นยำประมาณ 90% แต่ก็ต้องใช้คนมาดูเป็นด่านสุดท้ายด้วย
    อีกประการหนึ่งหนึ่งคือ สื่อต้องพยายาม disrupt ตัวเองให้เท่าทันยุคสมัย เผยแพร่ข่าวในเชิงลึกมากขึ้น และทำการบ้าน เช่น การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การเชื่อมโยงข้อมูล การเล่าเป็นสตอรี่ นำข้อมูลจากหลายแหล่งมารวมกัน อันนี้มันจะ copy ยาก แล้วก็ทำซ้ำกันยาก หรืออาจเชื่อมโยงข้อมูลวิชาการ ข้อมูลต่างประเทศ ในประเทศ เป็นต้น ลักษณะนี้จะทำให้ Value ของสื่อมีมากขึ้น

เครดิตที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/957991

contact ilc

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอล
ข่าวสาร

กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอล

กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอลระวังตกเป็นเหยื่อ! เผยวิธีการที่ผู้ร้ายสามารถปลอมลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อกอุปกรณ์ของเรา!
หลายคนอาจคิดว่าวิธีสแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint authentication) นั้นเป็นวิธีการที่มีความปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้ววิธีการดังกล่าวกลับมีข้อบกพร่องที่อาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อของผู้ร้ายได้
โดยทั่วไปแล้วลายนิ้วมือของคนเรามักจะทิ้งร่องรอยไว้ตามที่ต่าง ๆ เช่น ประตูรถแท็กซี, หน้าจอสมาร์ตโฟน หรือแม้แต่แก้วไวน์ในร้านอาหาร ซึ่งบทความของทีม Kraken Security Labs ได้เผยว่า จริง ๆ แล้วมันมีวิธีการที่ผู้ร้ายจะสามารถปลอมลายนิ้วมือของเราเพื่อเข้าปลดล็อกอุปกรณ์ได้อย่างไม่ยากเย็น ดังนี้

  1. ค้นหาลายนิ้วมือของเหยื่อ
กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอล,ค้นหาลายนิ้วมือของเหยื่อ

2.ถ่ายภาพและแต่งภาพด้วย Photoshop ให้เป็นภาพสีเนกาทีฟ (Negative)

กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอล

3.ใช้เครื่องเลเซอร์พรินเตอร์เพื่อพรินต์ภาพเนกาทีฟลายนิ้วมือลงบนแผ่น Acetate Sheet จะได้รอยนิ้วมือที่มีความนูนเป็น 3 มิติ

กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอล

4.ใช้กาวติดไม้ (wood glue) ทาและเกลี่ยให้ทั่วลายนิ้วมือบนแผ่น Acetate Sheet

กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอล

5.เมื่อกาวแข็งตัวจะได้รอยนิ้วมือติดบนกาว ซึ่งผู้ร้ายจะสามารถนำไปใช้ปลดล็อกระบบสแกนนิ้วมือของอุปกรณ์ที่เหยื่อใช้อยู่ได้

กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอล

จากการทดลองของ Kraken พบว่า พวกเขาสามารถใช้วิธีดังกล่าวในการปลดล็อก iPad, MacBook Pro หรือแม้แต่ Hardware Wallet ที่ใช้ระบบสแกนนิ้วมือได้อย่างไม่มีปัญหา
วิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ กลวิธีปลดล็อคอุปกรณ์ดิจิตอล
การสแกนนิ้วมือไม่ควรถูกพิจารณาว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย และเราไม่ควรที่จะพึ่งพาการสแกนนิ้วมือในทุกระบบ การกระทำเช่นนี้จะทำให้ข้อมูลของคุณ เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล (จาก hardware wallet) เสี่ยงต่อการถูกโจมตีได้
แม้ว่าคนเราจะมีลายนิ้วมือที่ไม่เหมือนกัน แต่มันก็ยังถูกนำไปลอกเลียนได้ง่าย ดังนั้นผู้ใช้ควรพิจารณาในการใช้พาสเวิร์ดที่คาดเดาได้ยาก (Strong password) และการใช้ระบบยืนยันตัวตน 2 ชั้น (2 Factor Authentication) แทน

เครดิตที่มา https://www.beartai.com/news/itnews/860292

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc

ถูกดูดเงินจากบัญชี
ข่าวสาร

ถูกดูดเงินจากบัญชี มีการป้องกันอย่างไรบ้าง เช็กเลยที่นี่!!!!

ถูกดูดเงินจากบัญชี 18 ต.ค. 64 จากกรณีผู้ใช้บริการถูกโอนเงินจากบัญชีติดต่อกันหลายรายการจนในขณะนี้มีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก จนโลกโซเชียลมีการตั้งกลุ่ม “แชร์ประสบการณ์โดนหักเงินจากบัญชีไม่รู้ตัว” ซึ่งผู้เสียหายหลายรายได้ออกมาแชร์ประสบการณ์การถูกดูดเงินออกจากบัญชีซึ่งขณะนี้สมาชิกในกลุ่มมีถึง 5.5 หมื่นรายเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามสมาชิกบางรายได้มาแชร์วิธีการเบื้องต้นเพื่อกันการถูก ถูกดูดเงินจากบัญชี โอนเงินออกจากบัญชีโดยสรุปดังนี้

  1. ตั้งบัญชีบัตรเดรดิตในการทำธุรกรรมในแอปพลิเคชั่นของธนาคาร ตั้งวงเงินให้กลายเป็น 0 บาท เมื่อต้องการใช้ซื้อของค่อยเข้าไปเปลี่ยนวงเงินที่ต้องการจะใช้ใหม่ โดยตั้งให้พอดีกับการใช้แต่ละครั้ง
  2. ลบการผูกบัญชีบัตรเครดิต หรือ บัตรเดบิต ที่ผูกไว้กับแอปพลิเคชั่น เฟซบุ๊ก แอปพลิเคชั่นช้อปปิ้งต่างๆ และ ในระบบ google play หรือ apple store ออกให้หมด
  3. สำหรับคนที่โดนหักเงินจาก facebook นำเงินไปจ่ายค่ายิงแอดโฆษณา ให้เข้าไปที่ดูการแจ้งเตือนว่า มีคนดึงบัญชีของเราเข้าไปบัญชีโฆษณาของ Facebook หรือไม่ หลังจากนั้นให้ไปไล่หาชื่อของเรา ตรงบทบาทผูดูแลบัญชี และกดลบผู้ใช้ออกทันที หลังจากนั้นให้ลบบัญชีที่ทำไว้เพื่อทำธุรกรรมผ่านเฟซบุ๊กออก
  4. หากใครพบความผิดปกติของบัญชีธนาคารของตนเอง สามารถติดต่อสถาบันการเงิน เพื่ออายัดบัตร หรือ บัญชีโดยทันที ตามเบอร์โทรดังต่อไปนี้ตามภาพ
ถูกดูดเงินจากบัญชี
วิธีป้องกันเบื้องต้น,ถูกดูดเงินจากบัญชี
เบอร์โทร call center ธนาคาร,ถูกดูดเงินจากบัญชี

นอกจากนี้ เพจ Drama addict ได้แนะวิธีการทำธุรกรรมการเงินทางออนไลน์ในการผูกบัญชีเพื่อซื้อของอย่างปลอดภัย ผ่านแอปพลิเคชั่น หรือสโตร์ออนไลน์ โดยการเปิด ทรูวอลเล็ต แล้วใช้ บัตรเครดิต we card ในแอปฯ ไปผูกกับบัญชีออนไลน์ทั้งหมด แล้วรักษายอดเงินในวอลเล็ตไว้ที่หลักสิบบาท หลังจากนั้นหากต้องการจะต่อสมาชิกอะไร ให้เติมเงินตามจำนวนที่จะจ่าย แล้วกดจ่ายทันที สรุปคคือ ใช้บัญชีธนาคารเชื่อมกับทรูวอลเล็ตอันเดียว แล้วใช้ ทรูวอลเล็ต ไปผูกกับบริการอื่นๆแทน แล้วตั้งค่า sms ของบัญชีธนาคารให้แจ้งเตือนหากมีการทำธุรกรรมการเงินมีการเข้าออกของเงินในบัญชี เท่านี้ก็น่าจะปลอดภัยในระดับนึง

truewallet,drama-addict

ขณะที่พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะนำให้ ผู้เสียหายแจ้งไปยังธนาคาร เพื่ออายัดบัตรและปฎิเสธการชำระเงินค่าบริการทางออนไลน์ และตรวจสอบรายการเดินบัญชี รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเดินทางไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในทุกพื้นที่ใกล้บ้าน เพื่อสืบสวนสอบสวนพิสูจน์ทราบถึงตัวผู้กระทำความผิดและนำตัวมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป


สำหรับแนวทางการป้องกันการถูกดูดเงินจากบัญชี กรณีที่คนร้ายได้ข้อมูลที่อยู่ด้านหน้าบัตร และตัวเลขรหัส 3 ตัวที่อยู่ด้านหลังบัตร คนร้ายจึงสามารถนำไปใช้ทำธุรกรรมผ่านทางออนไลน์ที่มีมูลค่าไม่สูงได้ โดยไม่ต้องใช้ OTP
ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่ไม่น่าเชื่อถือผ่านทางออนไลน์ ที่ต้องแจ้งข้อมูลด้านหน้าบัตรและรหัส 3 ตัวที่อยู่ด้านหลังบัตร หากต้องการเข้าไปที่เว็บไซต์ใด ขอให้พิมพ์ชื่อเว็บด้วยตัวเองเพื่อป้องกันเข้าไปสู่เว็บไซต์ปลอมที่มีความแนบเนียนมาก
นอกจากนี้ยังประชาชน ควรนำแผ่นสติ๊กเกอร์ทึบแสงปิดรหัส 3 ตัวด้านหลังบัตร หรือจดรหัส 3 ตัวดังกล่าวเก็บไว้ แล้วใช้กระดาษทรายลบตัวเลขรหัสดังกล่าวออกจากด้านหลังบัตร เพื่อความปลอดภัยในการใช้จ่ายประจำวัน และป้องกันมิจฉาชีพ มิให้แอบถ่ายรูปด้านหน้าและหลังบัตรเพื่อนำไปใช้จ่ายในโลกออนไลน์ ถูกดูดเงินจากบัญชี

เครดิตที่มา https://www.tnnthailand.com/news/socialtalk/93975/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
Retail-CBDC
ข่าวสาร

Retail CBDC “บาทดิจิทัล” ทดสอบใช้ปีหน้า เพิ่มตัวเลือกชำระเงิน

Retail CBDC “บาทดิจิทัล” ทดสอบใช้ปีหน้า เพิ่มตัวเลือกชำระเงิน
สกุลเงินดิจิทัลเป็นเทรนด์ที่มาแรงในโลกยุคใหม่ โดยในหลายประเทศได้รับความนิยมมากขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับประเทศไทยเอง ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่ได้เริ่มศึกษาและพัฒนาไปสู่ภาคประชาชนเรียกว่า “retail CBDC”ซึ่งเป็นโครงการต่อยอดจากโครงการ “อินทนนท์”
โดยเริ่มวางแนวทางพัฒนา retail CBDC เมื่อเดือน เม.ย. 2564 ที่ผ่านมาถึงขณะนี้กำลังจะเริ่มสู่กระบวนการทดสอบ“การใช้จริงในวงจำกัด” ก่อนขยายสู่วงกว้างในระยะถัดไป ซึ่งจะเป็นการยกระดับระบบโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศสู่โลกดิจิทัลในที่สุด
ประชาชนหนุน Retail CBDC
โดย “วชิรา อารมย์ดี” ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า หลังจากเดือน เม.ย. 2564 ที่ ธปท.ได้รวบรวมผลการศึกษาผลกระทบต่อภาคการเงินไทย และสำรวจความเห็นจากสาธารณชนผ่าน direction paper พบว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางการพัฒนา retail CBDC ของ ธปท.
โดยประชาชนมองว่าจะทำให้ไทยมีระบบโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่อัพเกรดมากขึ้น ซึ่งประชาชนจะมีทางเลือกในการใช้งานมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนทางด้านบริหารจัดการเงินสดของประเทศจะลดลง มีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น และลดการผูกขาดของภาคเอกชนได้ รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจภาครัฐจะมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำได้ตรงถูกคนมากขึ้น
“ธปท.ประเมินว่าความต้องการใช้ retailCBDC ของประชาชนจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะเข้ามาเป็นอีกทางเลือกในการชำระเงินให้กับประชาชน โดยอาจถูกใช้ทดแทนเงินสด และเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ได้บางส่วนในระยะต่อไป” นางสาววชิรากล่าว
ไม่กระทบระบบ-นโยบายการเงิน
ขณะที่ผลต่อนโยบายการเงินจะมี 2 ส่วน ได้แก่

1.ปริมาณเงินในระบบ พบว่าCBDC จะไม่ทำให้ปริมาณเงินเปลี่ยนแปลง หากใช้ CBDC ทั้งกรณีทดแทนเงินสด หรือรูปแบบ e-Money เพียงแค่เปลี่ยนองค์ประกอบของเงินมาในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งCBDC ไม่ต่างจากการใช้ธนบัตร
2.การหมุนเวียนของเงิน จะช่วยเพิ่มความสะดวก ลดต้นทุนการเงิน แม้ว่าเงินจะหมุนเวียนเร็วขึ้น แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ให้ความสำคัญกับการดูแลต้นทุนทางการเงินผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
“การออกแบบและการพัฒนา retail CBDC ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องไม่สร้างผลกระทบรุนแรงต่อการส่งผ่านนโยบายการเงิน การทำงานของระบบสถาบันการเงิน และเสถียรภาพโดยรวมของภาคการเงินไทย โดยประโยชน์ในแง่ภาคประชาชนจะมีทางเลือกที่มีความปลอดภัยสูงและเหนือการชำระเงินรูปแบบเงินสด e-Money ภาคธุรกิจสถาบันการเงินมีระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ และประเทศได้โครงสร้างพื้นฐานทันสมัยรับโลกดิจิทัล” นางสาววชิรากล่าว
Q2 ปีหน้าทดสอบใช้จริงวงจำกัด
ทั้งนี้ สเต็ปต่อไป “วชิรา” บอกว่า ภายในไตรมาส 2 ปี 2565 จะมีการทดสอบใช้งานจริง (pilot test) ซึ่งต้องตอบโจทย์ครอบคลุมพฤติกรรมและผู้เล่นหลากหลาย รองรับการใช้งานพื้นฐาน (foundation track) ที่มีการใช้งานหลากหลายรูปแบบ เพื่อทดสอบผลในเชิงเทคนิคกับการใช้งานจริง
“เบื้องต้นจะเริ่มใช้ภายใน ธปท.ก่อน โดยจะร่วมกัน 4 กลุ่ม ได้แก่ ธปท. ประชาชน ร้านค้า และผู้ประกอบการทั้งสถาบันการเงิน และน็อนแบงก์ หรือผู้ให้บริการระบบชำระเงิน โดย ธปท.มีการกำหนดขอบเขตการใช้ที่จำกัด ทั้งพื้นที่ หรือจำนวนผู้ใช้งาน และเป้าหมายการทดสอบภายในไว้ในทุกไตรมาส เพื่อดูปัญหาอุปสรรค หาแนวทางปรับแก้และประสิทธิผลจากการทดสอบก่อนจะขยายการใช้ในวงกว้างต่อไป” นางสาววชิรากล่าว
ทั้งนี้ ขอบเขตรูปแบบ function พื้นฐานเช่น การรับ แลก และชำระสินค้าบริการ ซึ่งมีทั้งรูปแบบ online & offline โดยเป็นการใช้งานภายในกลุ่มทดสอบที่สมัครใจ ทั้งประชาชน ร้านค้าต่าง ๆ ทั่วไปภายในพื้นฐานที่กำหนด และการจำกัดจำนวนเงินในวอลเลตที่ทดสอบ ยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าควรอยู่ในระดับไหนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ต้องประเมิน
“ในไตรมาส 2 ปีหน้าจะเป็น pilot project ทดสอบจำกัดเหมือนประเทศจีนที่ทยอยเริ่มใช้เป็นมณฑล ซึ่งใช้เวลาเป็น 1-2 ปี เราก็ทดลองทำและค่อยปรับในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อให้แน่ใจก่อนจะขยายใช้วงกว้างในระดับประเทศ” ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
ลดการรั่วไหลเงินอุดหนุนภาครัฐ
ขณะที่ “แซม ตันสกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด มองว่า การพัฒนา CBDC ของ ธปท.ดังกล่าว นับเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นของไทยในการก้าวสู่สังคมไร้เงินสด (cashless society)
และเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset) ที่เป็น stable coin ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยเป็นต่อยอดจากโครงการอินทนนท์ที่ใช้ทำธุรกรรมระหว่างธนาคารกลางกับธนาคารกลาง มาสู่ภาคธุรกิจ
โดย CBDC ที่พัฒนาเป็นโมเดลเดียวกับที่ใช้ในประเทศจีน คือ เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่อยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินได้ ว่าเริ่มจากไหนและจบที่ไหน ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนโครงการภาครัฐได้อย่างดีในการทำนโยบายโดยตรงกับประชาชน
ทั้งนี้ CBDC จะช่วยลดการรั่วไหลของเงิน การทุจริต เพราะสามารถตรวจสอบได้ เช่น นโยบายให้เงินผู้ปกครองช่วยค่าเทอม 2,000 บาท และสามารถใช้ในร้านค้าที่กำหนด
โดยเงินจะอยู่ในโมบายแบงกิ้ง หรือแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง แต่จะถูกแยกบัญชี เป็นสกุลเงินดิจิทัลตามวงเงินที่กำหนดไว้ จากเดิมที่รัฐจะให้เงินผ่านประกันสังคมหรือโอนเข้าบัญชี ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเงินได้นำไปใช้ถูกวัตถุประสงค์หรือไม่
“แบงก์ใหญ่ ๆ มีส่วนร่วม ส่งทีมงานเข้าไปช่วยพัฒนาระบบตั้งแต่โครงการอินทนนท์แล้ว พอขยายมาสู่ CBDC ซึ่งเรามองว่าเป็นเรื่องดี นอกจากจะหนุนสังคมไร้เงินสด ยังทำให้เงินไม่ตกหล่นระหว่างทาง สามารถตรวจสอบได้ หากรัฐทำนโยบายกับประชาชน ซึ่งจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ขึ้นกับการสนับสนุนผ่านโครงการภาครัฐ โดยหลังจากมีการทดลองใช้ไตรมาส 2 ปีหน้า ก็คาดว่าในปี 2566 น่าจะขยายวงกว้างขึ้น และในอนาคตต่อยอดไปสู่การโอนเงินที่ทำได้ง่ายขึ้น” นายแซมกล่าว
ถือว่าเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจเลยทีเดียว โดยการที่ภาครัฐลงมือพัฒนาเอง น่าจะสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้เป็นอย่างดี
เครดิต : https://www.prachachat.net/finance/news-743365

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
Digital Asset
ข่าวสาร

Digital Asset : 6 ไอเดียสร้างธุรกิจ Digital Asset

Digital Asset หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล คืออะไร?…

6 ไอเดียสร้างธุรกิจ Digital Asset : Digital Asset สินทรัพย์ดิจิทัล คืออะไร

คุณรู้จักการลงทุน การสร้างรายได้จากสินทรัพย์และธุรกิจแบบดั้งเดิมเป็นอย่างดีแล้ว อาทิ หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, ที่ดิน, รวมไปถึงการดำเนินกิจการแบบดั้งเดิม อาทิ การมีอาคาร โรงงาน หรือหน้าร้าน มีการผลิตหรือสต็อกสินค้าแบบ Physical Products ไว้จำหน่าย โดยที่ผ่านมาคนรวยมักสร้างเนื้อสร้างตัวจากธุรกิจและการลงทุนเหล่านี้
แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาจนปัจจุบัน (และต่อไป) เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตก่อให้เกิดนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ไม่มี Physical Products ให้มองเห็นหรือจับต้องได้ แต่สามารถสร้างรายได้ตั้งแต่ หลักล้านบาท ไปจนถึง ล้านล้านบาท ต่อปี
นักธุรกิจยุคใหม่ ๆ อาทิ Elon Musk, Jeff Bezos, Jack Ma, และ Mark Zuckerberg เป็นต้น ฯลฯ สร้างความร่ำรวยแซงหน้ากลุ่มธุรกิจแบบดั้งเดิมอย่างรวดเร็ว ธุรกิจของพวกเขา คือ อะไร? คำตอบ คือ Digital Asset และ Digital Product
บทความนี้ไปรู้จักการลงทุน การทำธุรกิจ และการสร้างรายได้ในอีกโลกหนึ่ง การลงทุนเพื่อสร้างรายได้ที่บางครั้งอาจใช้เงินสดเริ่มต้นเพียงหลักพัน ความเสี่ยงช่วงแรกเกือบจะเป็นศูนย์ แต่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวหลักสิบล้านไปจนถึงร้อยล้านบาทขึ้นไปได้ นั่นคือ การลงทุนสร้างธุรกิจออนไลน์ และ การสร้างรายได้ออนไลน์จาก Digital Asset

Digital Asset คืออะไร?
ความหมายแบบกระชับและเข้าใจง่ายที่สุดจากเว็บไซต์ simplicable.com ดังนี้ :
“…A digital asset is something that has value and can be owned but has no physical presence…” แปลว่า สิ่งที่มีมูลค่า และสามารถเป็นเจ้าของได้ แม้ไม่มีตัวตนให้จับต้องได้


ตัวอย่างนักธุรกิจที่ร่ำรวยจาก Digital Asset
โดยทั่วไปเราอาจมองว่าคนเหล่านี้กำลัง ทำธุรกิจออนไลน์, ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, หรือ ธุรกิจซอฟต์แวร์ เป็นต้น แต่หากจับกลุ่มธุรกิจเหล่านี้มัดรวมกันเป็นคำเดียว คือ ธุรกิจ Digital Business และการสร้าง Digital Asset

กลุ่มแพลทฟอร์ม

Digital Asset,Jack Ma,Alibaba.com

Jack Ma : Alibaba.com
ธุรกิจ Platform ประเภท ‘เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบขายส่ง’ เปิดให้ผู้ขายมาสร้างบัญชีและโพสต์สินค้า และผู้ซื้อมาค้นหาและสั่งซื้อสินค้า โดย Platform เป็นสื่อกลางในการอำนวยการด้านการแสดงสินค้า กระบวนการสื่อสาร และการสั่ง ซื้อ/ขาย สินค้าภายในระบบ
เกร็ดน่ารู้ : Jack Ma เริ่มโครงการ Alibaba ในปี 1998 — นอกจากไอเดียโมเดลธุรกิจแล้ว ตัวเขาไม่มีเงินทุนเลย เขาต้องยืมเงินญาติ ๆ และเพื่อนถึง 18 คนเพื่อให้ได้เงินจำนวน 60,000 เหรียญ หรือประมาณ 1,800,000 บาท มาก่อตั้ง Alibaba
เดือน กันยายน 2014 Alibaba ทำการ IPO เข้าตลาดหุ้น New York Stock Exchange ด้วยมูลค่า 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่า Facebook ทำ IPO ในปี 2012 ที่มูลค่า 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

digital-asset,jeff-bezos,Amazon.com

Jeff Bezos : Amazon.com
ธุรกิจ Platform ประเภท ‘เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซแบบขายปลีก’ โมเดลธุรกิจแบบเดียวกับ Alibaba เกือบทุกประการยกเว้นจับกลุ่มธุรกิจซื้อขายแบบปลีก เปิดตัววันที่ 16 กรกฏาคม 1995 โดยเริ่มจากการขายหนังสือออนไลน์ และเติบโตอย่างรวดเร็วจนได้รับฉายา The Everything Store
เกร็ดน่ารู้ : เมื่อกว่า 2 ทศวรรษที่แล้ว Jeff Bezos ทำงานในห้องทำงานเล็ก ๆ และเซิร์ฟเวอร์ตัวแรกที่ตั้งอยู่ในโรงรถเก่า ๆ ปัจจุบัน Amazon.com กลายเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก ในปี 2017 มีสินค้ากว่า 500 ล้านรายการ และยอดขายมากกว่า 177 แสนล้านเหรียญ พร้อมกับเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกด้วยทรัพย์สิน 132,000 ล้านเหรียญ

digital-asset,Mark Zuckerberg, Facebook.com

Mark Zuckerberg : Facebook.com
ธุรกิจ Platform ประเภท ‘โซเชียลเน็ตเวิร์ค’ หรือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้งานสามารถสมัครสมาชิกเพื่อเข้าใช้งานฟรี โดยสามารถโพสต์ข้อความ รูปภาพ วีดีโอ เพื่อแบ่งปันกับเพื่อน ๆ ที่อยู่ในระบบ โดย Platform มีโมเดลรายได้จากการให้บริการโปรแกรมโฆษณา Facebook Ad รายได้จากเครื่องมือโฆษณาปี 2018 ประมาณ 55,838 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เกร็ดน่ารู้ : Facebook ก่อตั้งในปี 2004 สถิติผู้ใช้งานรายงานโดย Statista ณ ปี 2008 อยู่ 100 ล้าน Monthly Active Users (MAUs) และโตทะลุ 1000 ล้าน MAUs ในปี 2012 ส่งผลให้ Facebook เป็น โซเชียลเน็ตเวิร์ค ที่มี MAUs สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และในปี 2018 — Facebook มีผู้ใช้งาน 2.32 พันล้าน MAUs หรือราว ๆ 2 ใน 3 ของประชากรโลก

กลุ่มซอฟต์แวร์ / แอปพลิเคชัน

Drew Houston,Dropbox

Drew Houston : Dropbox
เป็น ซอฟต์แวร์ / แอปพลิเคชัน ประเภท Cloud storage ให้คนสามารถฝากและแชร์ไฟล์ดิจิตัลไว้ในระบบ ผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้อสามารถล็อกอินเข้าไปใช้งานไฟล์ดิจิตัลจากเอกสารชุดเดียวกัน ที่เปิดแชร์ร่วมกันจากที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องอาศัยการบันทึกลง CD หรือ Flash Drive
เกร็ดน่ารู้ : Drew Houston สร้าง Dropbox เพื่อแก้ปัญหาความขี้ลืม Flash Drive และเมื่อพบว่ามันใช้งานได้ดี เขาจึงพัฒนาให้คนทั่วไปใช้ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมาจนกระทั่ง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2018 Dropbox ทำการ IPO เข้าตลาดหุ้น และกลายเป็นกิจการที่มีมูลค่าสูงถึง 13,000 ล้านเหรียญ ทันที

Elon Musk,Paypal

Elon Musk และคณะ : Paypal
เป็น ซอฟต์แวร์ / แอปพลิเคชัน ชำระเงินออนไลน์ ที่สะดวก ไม่ต้องยุ่งยากในการเชื่อระบบกับ Payment Gateway ของธนาคาร เริ่มต้นในปี 1999 โดยการไป Plugin กับระบบชำระเงินของ eBay ซึ่งกำลังประสบปัญหาในการจัดการระบบชำระเงินออนไลน์ในช่วงที่ eBay กำลังเติบโต และ eBay จึงตัดสินใจซื้อ Paypal ในปี 2003 ในราคา 1500 ล้านเหรียญ
เกร็ดน่ารู้ : Paypal มีผู้ก่อตั้งร่วมกันหลายคน ได้แก่ Elon Musk, Peter Thiel, Max Levchin, Ken Howery, Luke Nosek, Yu Pan และทีมงานหัวกะทิอีกราว ๆ 20 คน ทั้งหมดนี้ถูกเรียกฉายาว่า แก๊ง Paypal Mafia ในฐานะนักสร้างธุรกิจ Startup พันล้านเหรียญภายในเวลาเพียง 3 ปี

Gareth Williams,SkyScanner

Gareth Williams และคณะ : SkyScanner
เป็นเว็บไซต์ แพลทฟอร์มและแอปพลิเคชัน ในการ ค้นหาดีลตัวเครื่องบินและที่พัก รวมไปถึงการจองซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวบนแพลทฟอร์มได้เลย Skyscanner เกิดขึ้นในวงเบียร์ ณ ปี 2001 จากปัญหาความลำบากในการค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกไปยังสถานที่ ๆ คนบินไม่บ่อย ของกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้ง พวกเขาจึงสร้างระบบการค้นหานี้ขึ้นมาเองเสียเลย โดยใช้ช่วงแรกพวกเขาสร้าง
เกร็ดน่ารู้ : Ctrip บริษัทท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีนเข้าซื้อกิจการ Skyscanner ณ ปี 2016 ใน ราคา 1,400 ล้านปอนต์ หรือประมาณ 60,000 ล้านบาทเศษ ในขณะที่ Ctrip ก็ทำการเปิดตัวเว็บไซต์ชื่อ Trip.com และแอปพลิเคชั่น Trip by Skyscanner ในเวลาต่อมา — ส่วน Skyscanner ต้นสังกัดยังคงได้รับอำนาจเต็มร้อยในการบริหารภายใต้ทีมเดิม

กลุ่มเว็บไซต์

digital-asset,Arianna-Huffington


Arianna Huffington และคณะ : HuffingtonPost.com
เป็น เว็บไซต์ข่าว เน้นข่าวการเมือง และข่าวอื่น ๆ รอบโลก ก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2005 ร่วมก่อตั้งโดย Arianna Huffington ร่วมด้วยหุ้นส่วนอีก 3 คน และรีแบรนด์เป็น HuffPost ในปี 2017
เกร็ดน่ารู้ : HuffPost มีโมเดลรายได้จากค่าโฆษณาเป็นหลัก ได้แก่ Sponsored Content และ Google AdSense โดยคาดว่าเฉพาะรายได้จาก Google AdSense ในปี 2017 อาจอยู่ที่ประมาณ 2 – 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 60 ล้านบาท/เดือน HuffPost ถูกซื้อกิจการโดย AOL ในปี 2011 ณ ราคา 315 ล้านเหรียญ หรือ ประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท

Pete Cashmore,Mashable.com


Pete Cashmore : Mashable.com
เป็น เว็บไซต์ข่าว เน้นข่าวไอที และเทคโนโลยี ก่อตั้งในปี 2005 โดยวัยรุ่นชาวสก็อตแลนด์ชื่อ Pete Cashmore เมื่อตอนเขาอายุ 19 ปี ก่อนย้ายไปก่อตั้งสำนักงานในสหรัฐอเมริกาเพื่อทำเว็บข่าวอย่างจริงจังในปี 2008 เว็บไซต์ของเขายังได้รับเงินลงทุนจาก VC โดยหนึ่งในนั้นมี Peter Thiel แห่งแก๊ง Paypal Mafia รวมอยู่ด้วย
เกร็ดน่ารู้ : Pete Cashmore เขียนข่าวตัวคนเดียววันละ 18 ชั่วโมงเป็นเวลา 18 เดือนก่อนจะมีโฆษณาเจ้าแรกมาลง และในปี 2017 Mashable มีรายได้จากค่าโฆษณาในเว็บไซต์ 42 ล้านเหรียญฯ ก่อนขายให้บริษัท Ziff Davis ในปีเดียวกันนั้นที่มูลค่า 50 ล้านเหรียญ

Scott Delong,ViralNova.com

Scott Delong : ViralNova.com
ก่อตั้งในเดือน พฤษภาคม 2013 โดย Scott DeLong — ViralNova เป็นเว็บสารพัดข่าวเน้นการพาดหัวแบบ Click-Bait หรือ หัวข้อล่อให้คลิ๊ก อาทิ “แม่กลับบ้านดึกเปิดเข้าห้องนอนพ่อถึงกับอึ้งเมื่อเจอสิ่งนี้”, “เด็กชาย 5 ขวบเดินเข้าป่าเจอสิ่งนี้ถึงกับทึ่ง”
เกร็ดน่ารู้ : เทคนิค Click-Bait ทำให้ ViralNova เติบโตเร็วและมีทราฟฟิกแตะ 100 Visitor ต่อเดือนภายใน 8 เดือนหลังก่อตั้งโดยทราฟฟิกส่วนใหญ่มาจาก Social media แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทาง Facebook ก็ปรับอัลกอริธึมใหม่และแบน Reach จากเว็บไซต์แนว Click-Bait ทั้งหมด อย่างไรก็ดี Zealot Networks ซื้อ ViralNova ด้วยเงินสดและหุ้นรวมมูลค่า 100 ล้านเหรียญ และให้ Scott DeLong บริหารต่อไป


เว็บไซต์ไทยก็ไม่น้อยหน้านะ!
Blognone : เว็บไซต์ข่าวไอที และเทคโนโลยีชื่อดังของไทย โดเมนเนมถูกจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2004 จำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 มีจำนวน 2 – 3 ล้าน Visitor ต่อเดือน ผู้เยี่ยมชมเกิน 50% เป็น Direct traffic หรือ การพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ตรง ๆ ในบราวเซอร์ (แปลว่าแบรนด์แข็งแกร่งมาก) เว็บไซต์และทีมงานถูกเข้าซื้อโดย Wongnai (ของคนไทยเช่นกัน) เมื่อปี 2017 ด้วยจำนวนเงินที่ไม่ได้รับการเปิดเผย
Pantip : เว็บไซต์ประเภท เว็บบอร์ด ปริมาณผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์พันทิประหว่าง ต้น มกราคม ถึง ปลาย กุมภาพันธ์ ปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 110 – 115 ล้าน visitors โดย 74% มาจากคนค้นหาผ่านทาง Google รายได้ที่มีการเผยล่าสุด คือ ปี 2016 มีรายได้ 115 ล้านบาท [Source : ลงทุนแมน] รายได้หลักมาจากค่าโฆษณา อาทิ แบนเนอร์ และ Advertorial
Think of Living : เว็บข่าวอสังหาริมทรัพย์ รีวิวบ้าน และคอนโด จำนวนคนเข้าเว็บ 5 – 6 แสน Visitor ต่อเดือน โดยมาจาก Search traffic ถึงกว่า 80% จาก Direct 14% และจาก Social 3% ภายหลัง บริษัท iProperty Group จากมาเลเซีย เข้าซื้อกิจการไปในปี 2015 ด้วยเงินสดและหุ้นรวมมูลค่า (อย่างไม่เป็นทางการ) ประมาณ 200 ล้านบาท


2 สิ่งที่ทำให้ Digital Asset มีราคา
แม้ธุรกิจ Digital Asset อาจมาในหลากหลายรูปแบบ อาทิ Platform, SaaS (Software as a Service), Application, News Site, Blog, และ Social Media Channel ฯลฯ แต่ Asset ทุกประเภทจะต้องมีโมเดลรายได้อย่างน้อย 1 ชนิด เช่น ขายโปรแกรม ขายสินค้าและบริการ หรือขายโฆษณา อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้ Asset เหล่านี้มีมูลค่าเพิ่มจำนวนมาก แม้จะยังไม่กำไรก็ตาม ได้แก่

  1. Traffic : คือจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ใช้กับกลุ่ม Media ได้แก่ News Site หรือเว็บข่าว, Blog หรือเว็บบล็อกที่ลงบทความใน Niche ต่าง ๆ และ Social Media ได้แก่ Facebook Business Page ที่มีคนติดตามจำนวนมาก หรือ Youtube Channel ที่มีคนดูหลายล้านคน
  2. User : คือ ฐานข้อมูลผู้ใช้งานในระบบของ Saas/ Application จำนวนมาก ข้อมูลเหล่านี้มีค่าราวกับ ทองคำแห่งโลกดิจิตัล เพราะ คนที่ถือครองข้อมูลนี้ สามารถนำไปใช้พัฒนาและออกแบบ ผลิตภัณฑ์ แผนการตลาด ลักษณะข้อความที่จะใช้สื่อสาร และยังสามารถนำไปทำ Direct selling, Re-targeting และ Re-marketing เพื่อเสนอขายสินค้าไปหาพวกเขาโดยตรงได้อีกด้วย*
  • กรณีของ เว็บไซต์ หรือ Blog ก็สามารถสร้างและสะสมฐานข้อมูลลักษณะนี้ได้เช่นกัน กิจกรรมในการสร้างฐานข้อมูล User ในเว็บไซต์เรียกว่า List building

วิธีจำแนกประเภท Digital Asset

ต่อไปนี้คือวิธีจำแนก Digital Asset อย่างง่าย แบ่งเป็น จำแนกพื้นฐาน และจำแนกขั้นสูง มีรายการดังนี้ (หมายเหตุ : รายการสามารถจำแนกได้มากกว่านี้ แต่ขอนำเฉพาะตัวหลัก ๆ มาให้ดู)
การจำแนก Digital Asset ขั้นพื้นฐาน

  1. ข้อความ
    ข้อความสั้นบรรทัดเดียว, แคปชั่นบนโซเชียลเน็ตเวิร์คต่าง ๆ รวมไปถึงบทความทั้งสั้น และยาวที่คุณเขียนและโพสต์ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะโพสต์ขึ้นสู่ เว็บไซต์สาธารณะ, บล็อกส่วนตัว, เฟซบุ๊ค, และทวิตเตอร์ เป็นต้น ฯลฯ
  2. รูปภาพ
    รูปภาพทั้งภาพถ่าย ภาพกราฟฟิก และงานศิลปะเขียนมือ เป็นต้น ฯลฯ ที่คุณสร้างสรรค์หรือมีสิทธิโพสต์ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะโพสต์ขึ้นสู่ เว็บไซต์สาธารณะ, บล็อกส่วนตัว, เฟซบุ๊ค, อินสตาแกรม เป็นต้น ฯลฯ รวมไปถึงเว็บไซต์กลุ่ม Stock Photo ไม่ว่าจะแจกฟรี หรือทำขาย ล้วนนับเป็น Digital Asset
  3. เสียง
    ไฟล์เสียง ออดิโอบุ๊ค และพอดคาสต์ ที่คุณสร้างสรรค์ หรือมีสิทธิโพสต์ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์สาธารณะ, บล็อกส่วนตัว, เฟซบุ๊ค เป็นต้น ฯลฯ รวมไปถึงเว็บไซต์แพลทฟอร์มออดิโอ อาทิ Ookbee, SoundCloud, Audible, และเว็บขาย Sound effect
  4. วีดีโอ
    ไฟล์วีดีโอทุกชนิดที่คุณสร้างสรรค์ หรือมีสิทธิ โพสต์ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์สาธารณะ, บล็อกส่วนตัว, โซเชียลเน็ตเวิร์ค, เป็นต้น ฯลฯ รวมไปถึงเว็บไซต์แพลทฟอร์มวีดีโอ อาทิ Youtube, Udemy, SkillLane, และ Video Stock เป็นต้น ฯลฯ
  5. โลโก้ และ ฟอนต์
    สัญลักษณ์ขององค์กร แบรนด์ ตราผลิตภัณฑ์ และอักขระที่คุณออกแบบ หรือมีสิทธินำไปใช้ก็ล้วนเป็น Digital Asset บางครั้งแจกฟรี บางกรณีต้องซื้อเพื่อนำไปใช้งาน ยกตัวอย่าง เว็บไซต์ ฟอนต์.คอม

การจำแนก Digital Asset ขั้นสูง

  1. โดเมนเนม
    ชื่อเว็บไซต์จดทะเบียนเป็น Digital Asset สุดคลาสสิกที่สามารถมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และเคยมีประวัติการซื้อขายกันในราคาหลายสิบล้านบาท ไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท โดเมนเนมที่มีโอกาสมีมูลค่าเพิ่ม คือ สั้น จำง่าย นามสกุล Dot-Com ยกตัวอย่างเช่น Fund.com ราคา 9.9 ล้านเหรียญ และ Sex.com ราคา 13 ล้านเหรียญ
  2. เว็บไซต์
    เว็บไซต์ประกอบไปด้วย โดเมนเนม โครงสร้างเว็บไซต์ และคอนเทนต์ เป็นรูปแบบของ Digital Asset ที่เก่าแก่อันดับต้น ๆ ของโลก และมีโอกาสซื่อขายกันในราคาหลัก หมื่นล้านบาท โดยปัจจัยมูลค่าของเว็บไซต์ ได้แก่ ปริมาณคอนเทนต์ ทราฟฟิก และรายได้ที่มาจากทราฟฟิก เช่น จำนวนการ Click ที่ป้ายโฆษณา Google AdSense บนเว็บไซต์จำนวนมากอันเป็นเพราะทราฟฟิกที่เข้ามายังเว็บไซต์
  3. ซอฟต์แวร์/ แอปพลิเคชัน
    เป็นโปรแกรมต่าง ๆ เช่น โปรแกรม/ แอปฯ บริการจองที่พัก, โปรแกรม/ แอปฯ ดูราคาหุ้น, โปรแกรมเกมส์ เป็นต้น ฯลฯ อีกนับไม่ถ้วน โดยมูลค่าเพิ่มของ ซอฟต์แวร์/ แอปพลิเคชัน เหล่านี้เกิดจากจำนวนของ User ในระบบซึ่งบางครั้งกิจการอาจยังไม่กำไร แต่ก็สามารถมีมูลค่านับพันล้านบาทได้ ยกตัวอย่างเช่น Twitter เข้าตลาดหุ้นปี 2013 โดยที่บริษัทยังขาดทุนอยู่ และเพิ่งกำไรครั้งแรกในปี 2017 หรือเป็นการมีกำไรครั้งแรกในรอบ 11 ปี
  4. ข้อมูลความรู้ดิจิตัล
    หรือ Information Products ได้แก่ E-Book, Audiobook, Online Course, รวมไปถึง Subscription Content ที่ต้องชำระเงินเพื่อเข้าเสพเนื้อหา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีตัวตน หรือ เป็น Intangible Products ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ สื่อเก่าแก่อย่าง New York Times รายงานว่าในปี 2018 บริษัทมีรายได้จาก Digital Product สูงถึง 709 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนหนึ่งมาจาก Subscription Content
  5. ฐานข้อมูลผู้ใช้งานในระบบ
    หรือ User database คือตัวสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ Startup หลายรายแม้พวกเขาจะยังไม่มีกำไรจากธุรกิจ นอกจากนั้น ฐานข้อมูลผู้ใช้งานในระบบ ยังรวมไปถึง Website membership, Email list และ Chatbot subscribers
  6. เฟสบุ๊คพิกเซล
    Facebook conversion pixel ที่เก็บข้อมูลคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณไปสะสมไว้ในฟังชันพิเศษของ Facebook ที่เรียกว่า Custom Audience หรือ กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง สำหรับนำไปยิงโฆษณาแบบ ตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด หรือ Retargeting ad
  7. คริปโตเคอร์เซนซี
    เงินอิเลคทรอนิก ที่มีมูลค่าและสามารถใช้ซื้อสินค้าผ่านทางระบบออนไลน์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่เปิดรับคริปโตเคอร์เซนซีนั้น ๆ นอกจากนั้นยังนิยมใช้ในการเก็งกำไร โดยคริปโตเคอร์เซนซี มีความผันผวนสูงและอาจสร้างผลขาดทุนและกำไรเกิน 100% ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ คริปโตเคอร์เซนซีมีมากกว่า 1600 สกุล โดยสกุลที่นิยมเก็งกำไรได้แก่ Bitcoin, Etherreum, และ Litecoin

6 ไอเดียสร้างรายได้ออนไลน์จาก Digital Asset

  1. Affiliate Marketing
    นายหน้าออนไลน์ เป็นการสมัครร่วมเป็น Affiliate Partners กับทางเจ้าของสินค้า จากนั้นคุณจะได้ Affiliate ID และลิงค์สินค้าที่ฝัง Affilliate ID ดังกล่าวสำหรับนำไปแปะไว้ในเว็บไซต์ หรือ Blog ที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อเขียนรีวิวผลิตภัณฑ์ เมื่อคนเข้ามาอ่านบทความรีวิวสินค้าและคลิ๊กลิงค์ Affiliate ID ของคุณ เขาจะถูกส่งไปยังหน้าชำระเงินสินค้านั้น ๆ และหากการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ คุณจะได้ค่า Commission
  2. Blog
    Blog (บล็อก) เป็น Digital Asset ประเภท Own Media สาขา Digital Media หรือ สื่อออนไลน์ เป็นพาหนะในการสร้างรายได้ออนไลน์ที่คุณไม่จำเป็นต้องมีสินค้าของตัวเอง เพียงเขียนบทความลง Blog ก็มีคนมากมายพร้อมจะเอาเงินมายื่นให้คุณในฐานะ ‘เจ้าของสื่อ’ และ Blog ไม่เพียงทำเงินจากค่าโฆษณาเท่านั้น แต่มีการบันทึกไว้ว่ามีโมเดลทำเงินบน Blog มีถึง 53 วิธี และคุณต้องการเพียง 1 วิธี ก็สามารถทำเงินปีละ 7 หลัก จาก 1 Blog ไทย
  3. Creative Content
    Creative content ได้แก่ งานออกแบบอันมีลิขสิทธิ์ก็ดี หรือเปิดให้สาธารณะมีสิทธิในการนำไปใช้ประโยชน์อย่างมีเงื่อนไขก็ดี ได้แก่ Fonts, Memes, Photos, Videos ตัวอย่าง Digital Asset ประเภท Creative Content ที่มีมูลค่าสูงได้แก่ เว็บไซต์ในกลุ่ม Stock Photo หรือ Stock Video และ รูปภาพและวีดีโอที่อยู่ในระบบทั้งหมด
  4. Knowledge Content
    เนื้อหาที่ให้ข้อมูลและความรู้ในรูปแบบของ อาทิ บทความ (หมวดตัวอักษร) อินโฟกราฟฟิก (หมวดรูปภาพ) เสียง (ออดิโอบุ๊ค) หรือ วีดีโอ (คอร์สออนไลน์) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็น Digital Asset ทั้งสิ้น
  5. Platform
    แพลทฟอร์ม คือ สื่อกลางในการเก็บรวมรวบ Digital Asset ทั้งหมดที่กล่าวมา — รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบ Digital ก็ได้ — ไว้ในที่เดียวกัน และทำหน้ารวบรวม User ทั้งสองขา ได้แก่ Supplier (ผู้ผลิต) และ Buyer (ผู้ซื้อ) ให้เขามาทำธุรกรรมกันบนแพลทฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่น ShutterStock.com ซื้อขายรูปภาพ, PremiumBeat.com ซื้อขายเสียงดนตรีประกอบวีดีโอคลิป, หรือ Udemy.com ซื้อขายคอร์สออนไลน์
    อย่างไรก็ดี แพลทฟอร์ม ไม่จำเป็นต้องขายสินค้า Digital เสมอไป เพราะแพลทฟอร์มมีความเป็น Digital ในตัวเองอยู่แล้ว นั่นคือการเป็นสื่อการในการอำนวยการด้าน Online Transaction อาทิ eBay.com ขายสินค้า Physical Products และ UpWork.com ขายบริการฟรีแลนซ์
  6. Software/ Application
    ซอฟต์แวร์ และ แอปพลิเคชัน เป็นโปรแกรมบริการต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Software developer เพื่อให้บุคคลนำไปใช้งานตามเงื่อนไข อาทิ Trello โปรแกรมในการทำโปรเจคแมนเนจเมน, WhatsApp โปรแกรมแชท, ManyChat โปรแกรมแชทบอท, และ Tinder โปรแกรมหาคู่ เป็นต้น ฯลฯ ล้วนเป็น Digital Asset โดย Asset ที่โดดเด่นที่สุดของ ซอฟต์แวร์ และ แอปพลิเคชัน ได้แก่ User ในระบบซึ่งต่อให้ โปรแกรม มี User ฟรีจำนวนมากก็มีโอกาสมีมูลค่า และเป็นที่สนใจของนักลงทุน

4 ขั้นตอนเริ่มต้นสร้างรายได้ออนไลน์จาก Digital Asset

  1. ค้นหาความเชี่ยวชาญ หรือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข
    ในชีวิตของคุณจะมี 3 สิ่ง ได้แก่ 1) สิ่งที่คุณเชี่ยวชาญ, 2) สิ่งที่คุณรัก, และ 3) สิ่งที่ทำแล้วได้เงิน เมื่อ 3 สิ่งนี้มารวมกันแล้วเกิดรายได้ เราเรียกว่า ‘Sweet Spot’ — จง List แต่ละหัวข้อออกมาอย่างน้อย 5 – 10 รายการต่อหัวข้อ จากนั้นค่อย ๆ ยุบรวมกันจนเหลือ 3 รายการต่อหัวข้อ แล้วนำไป Matching กับ 6 ไอเดียสร้างรายได้ออนไลน์จาก Digital Asset
    ตัวอย่าง Sweet Spot ของ CEOblog
  2. ดูสิ่งที่อยากทำว่าอยู่ในกลุ่มใดใน 6 ไอเดียสร้างรายจาก Digital Asset
    เมื่อได้ 3 รายการหลักในแต่ละหัวข้อแล้ว ให้นำไปพิจารณาว่าตรงกับรายการใดใน 6 ไอเดียสร้างรายจาก Digital Asset และคัดเลือกไอเดียที่คุณอยากทำมากที่สุดออกมา 1 – 2 อย่าง คำแนะนำในการเลือกอย่างน้อย 2 ไอเดียเพื่ออาจเป็นแผนในการกระจายช่องทางการทำเงิน
  3. ศึกษาคู่แข่งในหมวดหมูที่อยากทำเพื่อหาช่องว่างและความแตกต่าง
    สัจจธรรมหนึ่งของธุรกิจ คือ ‘โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่’ อะไรก็ตามที่คุณคิดได้ มีคนคิดและทำมาก่อนคุณแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ต้องพยายามไปคิดอะไรที่แปลกประหลาดแบบหาคนทำไม่ได้มาก่อน เพราะ 1) มันแทบไม่มีเหตุการณ์นั้น 2) หรือมีแต่คนคิดและทำเจ๊งไปแล้วเพราะมันไม่เวิร์คบนโลกนี้!
    ให้คุณโฟกัสที่การสำรวจ วิเคราะห์ วิจัย แนวทางของโมเดลที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วว่าเขาทำอะไร จากนั้นค้นหาช่องว่างของโอกาส ยกตัวอย่างกรณี CEOblog เป็นเว็บข่าว อย่างไรก็ดีเว็บข่าวในประเทศไทยมีเยอะแล้ว หรือแม้แต่ข่าวธุรกิจและการตลาดก็มีเยอะเช่นกัน ดังนั้น CEOblog เพียงหาช่องว่างในตลาด นั่นคือมุ่งเป็น ‘ข่าวธุรกิจออนไลน์+ต่างประเทศ’ และจับคีย์นี้เป็นหลัก
  4. ลงมือทำอย่างต่อเนื่อง วัดผล และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
    เมื่อเลือกแนวทางลงตัวแล้วก็มาถึงขั้นตอนวางแผนและลงมือทำ! ก่อนมาทำ CEOblog ทางผู้ก่อตั้งฯ เคยมีประสบการณ์ วางแผน และทำหัวปักหัวปำเป็นเส้นตรง และเสียเวลาไปถึง 2 ปีกับการทำ Blog ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และไม่มีรายได้ บทเรียนนั้นทำให้ ผู้ก่อตั้งฯ เริ่มต้น Blog ใหม่กับ CEOblog โดยมีการวางแผนที่รัดกุม มีการวัดผล และพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ อยู่เสมอ
    แผนจะทำให้คุณชัดเจนในเส้นทางที่จะเดินในระยะ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี ฯลฯ ส่วนการวัดผลจะเป็นตัวบอกว่า คุณทำถูกหรือทำผิดสูตร สูตรไหนใช้ไม่ได้ตัดทิ้ง สูตรไหนใช้ได้พัฒนาต่อยอดต่อไป และที่สำคัญ การวัดผลจะช่วยให้คุณไม่จมอยู่กับกลยุทธ์ธุรกิจออนไลน์ที่ไม่เวิร์คนานจนเกิน 4 – 6 เดือน

สรุป Digital Asset หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล คืออะไร
Digital Asset และ Digital Business คือโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตที่เริ่มต้นแล้ววันนี้ ท่ามกลางโลกออนไลน์ที่คับคั่งไปด้วยสินค้าแบบ Physical Asset และตลาดออนไลน์ไทยที่เต็มไปด้วย พ่อค้าแม่ค้าที่แข่งกันขายของออนไลน์เหมือน ๆ หากคุณเร่งผันตัวมาเป็นนักธุรกิจผู้สร้าง รายได้ออนไลน์จาก Digital Asset ก่อนใคร คุณจะมีโอกาสประสบผลลัพธ์เร็วและได้ผลตอบแทนสูงกว่าดั่งวลีของ แม่ทัพซุนวู…

“…Plan for what it is difficult while it is easy, do what is great while it is small…” — จงเริ่มต้นในวันที่อะไร ๆ มันยังง่ายอยู่

เครดิต: https://www.ceochannels.com/how-to-create-digital-asset/

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
Work From Home
ข่าวสาร

Work From Home: WFH วิถีการทำงานที่ยังต้องหาความสมดุล

Work From Home: WFH (การทำงานที่บ้าน) รวมทั้งการสลับระหว่างการทำงานที่ออฟฟิศกับที่บ้าน (Hybrid WFH) จะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตของหลายองค์กร แม้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง
• ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า WFH และการทำงานที่ออฟฟิศ มีทั้งด้านบวกและด้านลบที่แตกต่างกันไป ซึ่งในที่สุดแล้ว องค์กรต่างๆ ทั้งพนักงานและบริษัท คงต้องหาแนวทางหรือจุดลงตัวร่วมกันเพื่อให้เกิดผลดีต่อทุกฝ่าย

โควิด-19 ยังไม่จบลงในระยะเวลาอันใกล้ หลายบริษัทยังคงรูปแบบการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home

ด้วยสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในระดับสูง และคงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่จำนวนผู้ติดเชื้อจะลดลงมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้หลายบริษัทยังคงนโยบายให้พนักงานส่วนใหญ่ทำงานที่บ้าน หรือ WFH

จากผลสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า พนักงานในกรุงเทพฯและปริมณฑล กว่า 52.7% ยังทำงาน ณ ที่พักเต็มรูปแบบหรือ WFH 100% ขณะที่ประมาณ 30.6% มีรูปแบบการทำงานที่ออฟฟิศ 2-3 วันต่อสัปดาห์สลับกับการทำงานในที่พัก หรือ Hybrid WFH อย่างไรก็ดี กลุ่มผู้ตัวอย่างประมาณ 16.7% ยังต้องไปทำงานที่ออฟฟิศ เนื่องจากลักษณะงานไม่เหมาะที่จะ WFH ได้ เช่น งานทางด้านบัญชี งานที่ต้องลงนามในเอกสารสำคัญต่างๆ เป็นต้น รวมถึงบางบริษัทไม่มีความพร้อมในระบบไอทีและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่ออำนวยความสะดวกให้พนักงานให้สามารถทำงานที่บ้านได้

การ WFH อาจจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ก็อาจไม่ตอบโจทย์การทำงานได้อย่างเต็มที่

ในความเป็นจริงการ WFH ไม่ต่างจากการทำงานที่ออฟฟิศที่ก็มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ซึ่งในระยะเริ่มแรกของการทำงานที่บ้าน นับเป็นสิ่งแปลกใหม่ของวิถีการทำงานในยุค New Normal และเป็นสิ่งที่พนักงานหลายคนรอคอยกับการที่ไม่ต้องตื่นแต่เช้า แต่งตัวและฟันฝ่าการจราจรที่ติดขัดไปทำงาน การทำงานที่บ้านหรือที่ไหนๆ นั้น สามารถทำได้เพียงแค่มีระบบการสื่อสารโทรคมนาคมอินเทอร์เน็ตก็พอ สอดคล้องกับผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่พบว่า ในด้านบวกนั้น กลุ่มตัวอย่างมองว่าการทำงานที่บ้านช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น มีเวลาอยู่กับครอบครัว สามารถบริหารเวลาระหว่างชีวิตประจำวันกับการทำงาน (Work Life Balance) ได้ การทำงานมีประสิทธิภาพเนื่องจากไม่ต้องประชุมตลอดเวลา สุขภาพดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นด้านเวลาทำงาน

อย่างไรก็ดี ในอีกมุมหนึ่งของการทำงานที่บ้าน ก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์การทำงานได้อย่างราบรื่น ซึ่งจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่ต้อง WFH มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง พบว่า การทำงานที่บ้านมีอุปสรรคในมิติต่างๆ ที่สำคัญคือ อุปสรรคด้านการทำงาน (59% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) เนื่องจากไม่มีความคล่องตัวเหมือนกับการทำงานที่ออฟฟิศ ทั้งปัญหาด้านอุปกรณ์การทำงานและระบบไอที ปัญหาการสื่อสารระหว่างลูกทีมและหัวหน้า การติดต่อสื่อสารนอกเวลางานที่มากขึ้น การติดต่อประสานงานระหว่างหลายทีมมีความยากลำบาก การรับรู้นโยบายของบริษัทและงานระหว่างทีมงานมีน้อยลง และปัญหาในเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างพนักงานและหัวหน้างาน

ตามมาด้วย ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น (58.4% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) เช่น ค่าไฟฟ้า และค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ อุปสรรคการทำงานที่บ้านอื่นๆ อาทิ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยไม่เหมาะกับการทำงาน เช่น มีเสียงดัง จำนวนผู้อยู่อาศัยรวมกันจำนวนมาก ทำให้ขาดสมาธิในการทำงาน ปัญหาสุขภาพจากพื้นที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม การทำงานที่บ้านต้องมีการควบคุมพฤติกกรรมตนเองที่สูงและต้องใช้สมาธิอย่างมากในการทำงาน และต้องบริหารจัดการความสมดุลของเวลางานและการดูแลบุตรหลาน

องค์กรคงต้องหา Solution ที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาและอุปสรรคของการ WFH

การทำงานที่บ้านแบบเต็มรูปแบบก็ดี หรือจะเป็นรูปแบบการทำงานแบบสลับวันเข้าทำงานที่ออฟฟิศกับที่พักหรือ Hybrid WFH น่าจะยังเป็นทางออกที่เหมาะสมท่ามกลางการระบาดของโควิดอย่างหนัก ณ ขณะนี้ และเมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง รูปแบบการทำงานดังกล่าวน่าจะกลายมาเป็นวิถีการทำงานในอนาคตมากขึ้น อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การทำงานที่บ้านยังมีอุปสรรคท้าทายสำหรับพนักงานและบริษัทที่ต้องแก้ปัญหาด้วยแนวทางและเครื่องมือที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นประเด็นความพร้อมด้านระบบงานไอทีและอุปกรณ์ที่สอดรับกับลักษณะงาน การปรับสวัสดิการและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้เกิดความสมดุลระหว่างการทำงานที่บ้านกับการทำงานที่ออฟฟิศ เป็นต้น

ซึ่งจากผลสำรวจ พบว่า พนักงานต้องการการสนับสนุนจากองค์กรในด้านสวัสดิการค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต/ค่าโทรศัพท์ (60.2%) เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เพิ่มขึ้นกว่าปกติ นอกจากนี้ สิ่งที่พนักงานต้องการการสนับสนุนเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องไอทีและอุปกรณ์ในการทำงาน (48.9%) เช่น โน๊ตบุค ระบบข้อมูล หรือแม้กระทั่งความช่วยเหลือด้านเทคนิคเมื่อเกิดปัญหาขึ้น

และเป็นที่น่าสนใจว่า มุมมองของพนักงานต่อการ Work From Home หรือ Work From Anywhere ต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงานนั้น กลุ่มตัวอย่าง มองว่า การทำงานที่บ้านทำให้แรงจูงใจในการทำงานลดลง (60.0%) มีความเสี่ยงต่อการลดลงของเงินเดือนและสวัสดิการ (57.6%) มีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานลดลง (18.3%) และมองว่างานไม่มีความท้าทาย (14.7%)

ท้ายสุดแต่สำคัญที่สุด การที่ทีมงานในที่ทำงานอยู่ต่างที่กันเป็นสิ่งท้าทายสำหรับองค์กรที่คงจะต้องออกแบบการบริหารจัดการภายในเพื่อทำให้พนักงานทุกคนยังมีความรู้สึกมีส่วนร่วม ไม่ถูกโดดเดี่ยว การออกแบบการโปรโมทพนักงาน สวัสดิการ เพื่อให้พนักงานมีแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานใหม่ การสร้างทีมทำงานที่แข็งแกร่ง และการวัดประสิทธิภาพหรือ KPI ที่ชัดเจน เพื่อให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถเก็บพนักงานที่มีคุณค่าไว้กับองค์กรต่อไป ซึ่งหัวใจสำคัญคงจะอยู่ที่การสื่อสารสองทางอย่างสร้างสรรค์ในพนักงานทุกๆ ระดับ ให้เกิดความเชื่อมั่นและร่วมแรงร่วมใจกันขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายที่วางไว้

เครดิต: https://kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/WFH-FB-04-08-21.aspx

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

contact ilc
โลกหลังโควิด,แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหลัง covid-19
ข่าวสาร

โลกหลังโควิด จะเปลี่ยนไปอย่างไร

โลกหลังโควิด จะมีทิศทางเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เชื่อว่าหลายคนติดตามเรื่องนี้อยู่ คำถามที่ว่า “หลังโควิดสิ้นสุด โลกและธุรกิจจะเปลี่ยนไปอย่างไร และผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร” ในที่นี้เรานำเสมอมุมมองของนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญกับมุมมองที่น่าสนใจ และเรื่องที่ต้องฉุกคิด ภายใต้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบทุกมิติของโลก เศรษฐกิจ การเงิน สังคม วิถีชีวิต ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงว่า แม้หลังสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกคลี่คลาย นักวิเคราะห์ต่างมีความเห็นตรงกันว่า ‘โลกจะไม่เหมือนเดิม’ บางอย่างจะเปลี่ยนไปจากเดิมอัน สืบเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน ทำให้เกิดเป็นวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal คำถามที่เราต้องเร่งหาคำตอบคือ…อะไรที่จะไม่เหมือนเดิม

โลกหลังโควิด,แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงหลัง covid-19

Globalization สู่ Deglobalization


นายสุพริศร์ สุวรรณิก เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) จะมีความเข้มข้นมากขึ้น และทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก่อนเกิดวิกฤตครั้งนี้ เราได้เห็นหลายประเทศใช้นโยบายแบบเน้นตนเอง (inward-looking policy) หรือปกป้องทางการค้า (protectionism) อย่างชัดเจนกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะจากสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ส่งเสริมให้บริษัทสัญชาติอเมริกันกลับมาผลิตในประเทศมากขึ้นและกีดกันการค้าจากต่างประเทศ
ประเด็นนี้กลับมาชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกด้วยวิกฤตโควิด-19 ที่กำลังตอกย้ำความเชื่อของฝ่ายขวาจัดและผู้ไม่สนับสนุนโลกาภิวัตน์ว่า การพึ่งพิงระบบการผลิตระหว่างประเทศมากเกินไปเป็นเรื่องอันตราย ซึ่งจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกที่มีอยู่แล้วให้ยิ่งรวดเร็วมากขึ้น

จาก Free Trade สู่ Protectionism


ทั้งมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าประเทศต่างๆ จะหันมาพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในประเทศตนเองเพิ่มขึ้นอีก และกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตและขายสินค้าโดยไม่พึ่งพาแต่ประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น เพราะเห็นผลกระทบชัดเจนจากขั้นตอนการผลิตหรือตลาดขายสินค้าเมื่อยามที่ต้องปิดตัวลง ซึ่งเป็นผลจากมาตรการต่างๆ อาทิ การปิดเมืองหรือประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
นอกจากนี้รัฐบาลประเทศต่างๆ อาจเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็น “โอกาส” ในการคิดทบทวนอย่างรอบคอบว่านโยบายเศรษฐกิจของประเทศจะเดินไปในทิศทางใด โดยจะพยายามกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยไม่พึ่งพารายได้ทางใดทางหนึ่งจนเกินไป อาทิ ไม่พึ่งพาแต่การส่งออกหรือการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่อาศัยการบริโภคและการลงทุนในประเทศเป็นเครื่องจักรสำคัญด้วย
โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขจะได้รับการแก้ไข
วิกฤตโควิด-19 สร้างแรงกดดันให้รัฐบาลหลายประเทศ หันมาใส่ใจพื้นฐานด้านสาธารณสุขของประชาชนและไม่ปล่อยให้กลไกตลาดเป็นตัวจัดการอย่างที่เคยเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ ที่ระบบสาธารณสุขไม่มีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า วิกฤตครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการที่บุคคลจะเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้หรือไม่นั้น ไม่ควรเป็นเรื่องของปัจเจกชนอีกต่อไป
เพราะคนคนหนึ่งที่จริงๆ แล้วเป็นพาหะของโรคอยู่ แต่ไม่สามารถไปใช้บริการตรวจไวรัสได้เพราะจ่ายเงินค่าตรวจไม่ไหวทั้งๆ ที่อยากไป และคงใช้ชีวิตแบบเดิมตามปกติ ทำให้แพร่โรคระบาดต่อไปให้ผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวได้ จนในที่สุดการควบคุมโรคในภาพรวมจะทำได้ยากลำบาก และเป็นเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดหนักหนากว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ดังที่ปรากฏในปัจจุบันตามยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแซงหน้าอิตาลีไปแล้ว ดังนั้นหลังผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ เราอาจได้เห็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นของระบบรัฐสวัสดิการในแต่ละประเทศก็เป็นได้

โลกหลังโควิด,New Normal

New Normal สู่ระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ


ทุกวิกฤตย่อมทิ้งร่องรอย (legacy) ไว้เสมอ ย้อนกลับไปในสมัยการระบาดของโรคซาร์สในปี 2545 ก็สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับการใช้เทคโนโลยีออนไลน์อย่างอีคอมเมิร์ซในจีน ให้มาเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนอย่างสูง โดยเฉพาะอาลีบาบาและเจดีดอทคอม เพราะผู้คนหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากพื้นที่สาธารณะและหันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น มาถึงวิกฤตครั้งนี้ก็จะทิ้งร่องรอยไว้เช่นกัน โดยเป็นการตอกย้ำให้ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิมต้องเร่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เพื่อช่วงชิงตลาดจากการค้าขายแบบออนไลน์มากขึ้นอีก รวมทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลหลายประเภทที่มีมานานแล้วแต่ยังไม่มีคนใช้กันมากนัก วิกฤตครั้งนี้กลับบังคับให้คนต้องหันมาใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างจริงจัง และสร้างโอกาสต่อยอดให้มีผู้เล่นในตลาดมากยิ่งขึ้น อาทิแพลตฟอร์มที่ช่วยสื่อสารทางไกล จัดประชุม หรืออีเวนท์ ซึ่งผู้บริโภคจะเกิดความคุ้นเคยและเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้เทคโนโลยีอย่างถาวร นอกจากนี้แม้กระทั่งสถาบันการศึกษาก็ต้องพัฒนาไปใช้วิธีการสอนแบบออนไลน์ทดแทนทั้งหมดในช่วงวิกฤต ซึ่งอาจพลิกโฉมระบบการศึกษาโลกไปโดยสิ้นเชิงหลังผ่านพ้นวิกฤตแล้ว
ประเด็นสุดท้ายคือผู้คนอาจจะกลัวการใช้เงินสดหรือธนบัตร เพราะกระดาษอาจเป็นพาหะของเชื้อโรคได้แม้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปแล้ว และจะเริ่มคุ้นชินกับการรักษาสุขอนามัยอย่างเข้มงวด ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่คำนึงถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพ ด้วยปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

โลกหลังโควิด,อาหารปลอดภัย

โลกมุ่งสร้างความมั่นคงด้านอาหารปลอดภัย


ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ระบุว่า โลกหลังโควิดคงเน้นความเพียงพอของอาหารมากขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ WHO, FAO, และ WTO ออกแถลงการณ์ร่วมกันห่วงใยการขาดแคลนอาหารในโลก ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการปิดพรมแดนจากการล็อกดาวน์ของประเทศต่างๆ ทำให้การขนส่งอาหารถูกกระทบจากปัญหาด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
ดังนั้นหลังโควิด-19 ความมั่นคงทางอาหารยังเกี่ยวโยงกับความมั่นคงทางสุขภาพ สาธารณสุข เช่น เรื่องการผลิตและบริโภคอาหารปลอดภัย อาหารปลอดสารพิษ อาหารที่เสริมภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรค อาหารที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง อาหารที่ฟื้นฟูสุขภาพ อาหารที่กระบวนการผลิตปลอดจากการปนเปื้อนเชื้อโรคและสารเคมีที่อันตรายต่างๆ เหล่านี้ ที่จะเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องมีการศึกษา การวิจัย การเรียนการสอน การปฏิบัติ การรับเอานวัตกรรมต่างๆ เข้ามาใช้อย่างมากในเวลาอันสั้น เรื่องเทคโนโลยีการผลิตยา วิตามิน เวชภัณฑ์ การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ น่าจะเป็นทิศทางของกิจกรรมทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน ประเทศต่างๆ คงพัฒนานักเทคโนโลยีของตนให้มากที่สุด
สำหรับประเทศไทยเองก็คงต้องสร้างระบบนิเวศน์ในการสร้างนวัตกรรม (Eco-System for Innovation) ของคนไทย ที่ชักชวนให้แรงจูงใจคนให้มาร่วมคิดร่วมประดิษฐ์ ร่วมพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ทางการแพทย์ต่างๆ ทั้งยาป้องกันโรค ยารักษาโรค เวชภัณฑ์ต่างๆ ที่เรามีประสบการณ์แล้วว่าที่ผ่านมายามคับขันเขาขาดแคลนอะไร เพียงใด และเราควรส่งเสริมนักเทคโนโลยีไทยอย่างไร เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางสาธารณสุข

Digital Transformation


วิทยาศาสตร์ของข้อมูลสถิติ (Data Science) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะช่วยหาคำตอบในเรื่องต่างๆ จะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการคาดการณ์และเข้าใจการระบาดของโรค การแก้ไขการระบาด และระบบการติดตามผู้อาจติดเชื้อ (Test and Trace) เป็นข้อมูลใหญ่ที่ผ่านการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง (Big Data Analytic) ซึ่งในอดีตหลายประเทศอาจไม่ได้ให้ความสำคัญพัฒนาระบบเหล่านี้ เพราะไม่เคยคาดคิดว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน อาทิเช่น
การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน จากการสร้างระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และการปิดสถานที่ต่างๆ ตามมาตรการสาธารณสุขในเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก (ถ้ารวมเขตปกครองพิเศษต่างๆ ก็จะถึง 210 แห่ง) ทำให้เทคโนโลยีเข้ามาบงการชีวิตคนอย่างไม่มีทางเลือก ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีความพร้อมหรือไม่ก็ตาม
การเรียนการสอนออนไลน์ การประชุมของภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาสังคมผ่านระบบทางไกล เช่น วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ การซื้อของ การสั่งอาหารออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มและบริการต่างๆ การใช้เทคโนโลยีในบริการทางการเงินที่เต็มรูปแบบยิ่งขึ้นเป็นต้น ก็กลายเป็นวิถีชีวิตของคนรวมทั้งคนไทยไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันการขนส่ง ส่งมอบสินค้าที่สั่งออนไลน์ (Delivery Service) ก็กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วและต้องการคนทำงานมากขึ้นอย่างมาก
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ธุรกิจบริการที่สนองต่อวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เฟื่องฟูขึ้นอย่างมาก มีการเติบโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เกิดขึ้นหลายระบบในเวลาอันสั้น และจะมีธุรกิจเหล่านี้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ความจำเป็นในการเดินทางในธุรกิจระหว่างประเทศลดลง
กล่าวได้ว่าเทคโนโลยีในชีวิตของโลกหลังโควิค คงไม่กลับมาสู่ระดับการใช้เทคโนโลยีก่อนโควิดอีกแล้ว แต่จะไปไกลขนาดไหน เทคโนโลยีออนไลน์จะกระทบอาชีพใดบ้าง กระทบธุรกิจห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร อาชีพอิสระ อาคารสำนักงาน จะกระทบธุรกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว, การเดินทางมากขนาดไหน จะมีรูปโฉมแตกต่างไปอย่างไร
แยกแยะ..ความผิดปกติปัจจุบัน หรือปกติใหม่
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) ระบุการไม่แยกแยะ “ความผิดปกติปัจจุบัน” (current abnormal) ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด เช่น การรักษาระยะห่างทางสังคม กับ “ความปกติใหม่” (new normal) ใน “โลกหลังโควิด-19” เช่นการประชุมผ่านระบบออนไลน์ที่น่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะช่วยลดต้นทุนจากการเดินทาง
การไม่แยกแยะประเด็นอาจทำให้เข้าใจผิดไปว่า พฤติกรรมของมนุษย์เราในช่วงผิดปกติในปัจจุบันส่วนใหญ่จะดำรงต่อเนื่องไป ทั้งที่ประวัติศาสตร์ของการเกิดโรคระบาดใหญ่ในอดีตชี้ว่า ในหลายกรณีพฤติกรรมส่วนใหญ่ในช่วงผิดปกติ จะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว


ดังนั้นก่อนที่เราจะด่วนสรุปว่า “ความปกติใหม่” ใน “โลกหลังโควิด” เป็นอย่างไร และควรดำเนินการอย่างไรนั้น เราควรต้องถามตัวเองอย่างน้อย 5 คำถาม คือ
– เราใช้ข้อสมมติ (assumption) อะไรในการวาดภาพอนาคต?
– เราได้พยายามแยกแยะ “ความผิดปกติปัจจุบัน” (current abnormal) ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดออกจาก “ความปกติใหม่” (New Normal) ใน “โลกหลังโควิด-19” หรือยัง?
– “ความปกติใหม่” ที่เราตั้งเป้าอยากเห็นจะมีต้นทุนสูงเพียงใด เราพร้อมจะจ่ายและสามารถจ่ายได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงข้อจำกัดใหม่ของระบบเศรษฐกิจไทย ที่น่าจะเติบโตช้าลง ในขณะที่รัฐบาล ธุรกิจ และประชาชนไทย จะมีทรัพยากรน้อยกว่าก่อนเกิดโควิด-19 มาก?
– การสร้าง “ความปกติใหม่” ตามที่เราจินตนาการไว้ จะต่อยอดจากการลงทุนสร้าง “ความปกติเดิม” ก่อนเกิดโควิด-19 อย่างไร ทั้งทุนกายภาพและทุนมนุษย์ ซึ่งหาก “ความปกติ” ใน 2 ช่วงเวลาแตกต่างกันมาก เราจะทำอย่างไรไม่ให้การลงทุนมหาศาลในอดีตสูญเปล่า?
– เราเข้าใจบริบทใหม่ (new context) ในเศรษฐกิจการเมืองโลกที่จะเปลี่ยนแปลงไปดีพอหรือยัง ที่จะทำให้เราปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับบริบทใหม่นี้?
ดังนั้นการทำความเข้าใจต่อ “ความปกติใหม่” ใน “โลกหลังโควิด-19” มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างมาก เราจึงควรช่วยกันศึกษาให้ดี ไม่ควรด่วนสรุปจากการหาคำตอบแบบผิว

แหล่งอ้างอิงได้ที่

: https://tdri.or.th/2020/04/new-normal-in-post-covid-world/
: http://doh.hpc.go.th/bs/issueDisplay.php?id=390&category=B10&issue=CoronaVirus2019
: https://www.thereporters.co/feature/world-after-covid19-new/

วิธีดูแลผิวหน้าฝน
ข่าวสาร

วิธีดูแลผิวหน้าฝน ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ 8 ข้อ

วิธีดูแลผิวหน้าฝน ด้วยเคล็ดลับง่าย ๆ 8 ข้อ ที่จะทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ สดใสเปล่งปลั่ง และมีสุขภาพดีตลอดหน้าฝนนี้ จะมีวิธีใดบ้างนั้น มาดูกันเลย…

ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวัน นอกจากสาว ๆ จะต้องระวังเรื่องสุขภาพร่างกายแล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพผิวหนังที่อาจเกิดความสกปรกและความอับชื้นที่มากับฝนได้ เพราะในน้ำฝนนั้นมีทั้งฝุ่นละออง สารเคมี รวมถึงเชื้อโรคและสิ่งสกปรกมากมาย รวมถึงฝนในเมืองนั้นยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ยิ่งเราสัมผัสน้ำฝนที่ปนเปื้อนแล้ว อาจทำให้ผิวหนังของเราแพ้และเป็นอันตรายได้ค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยมีวิธีดูแลผิวในหน้าฝนนี้มาฝากให้สาว ๆ ทุกคนได้ดูแลสุขภาพผิวของตัวเองให้มีสุขภาพดี เปล่งปลั่ง และเนียนนุ่มชุ่มชื่นตลอดช่วงฤดูกาลแห่งความชุ่มฉ่ำนี้แล้วค่ะ

  • ชำระล้างร่างกายให้สะอาด ช่วงฤดูฝนแบบนี้ควรหลีกเลี่ยงการโดนฝนจะดีที่สุดนะคะ แต่หากสาว ๆ คนไหนที่เพิ่งเปียกฝนมาละก็ เมื่อกลับถึงบ้านให้รีบอาบน้ำล้างหน้า และสระผมด่วน ๆ เลยนะคะ เพราะนอกจากจะเสี่ยงเป็นหวัดแล้วยังเสี่ยงต่อผิวเสียอีกด้วย เพราะในน้ำฝนมีทั้งฝุ่นละออง สิ่งสกปรก และเชื้อโรคมากมาย ซึ่งอาจทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ได้ค่ะ
ชำระล้างร่างกายให้สะอาด
  • ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า บางครั้งการล้างหน้าอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะในน้ำฝนนั้นมีแต่ฝุ่นและมลพิษมากมาย จึงแนะนำว่าหลังล้างหน้าเสร็จ ควรเช็ดทำความสะอาดผิวหน้าด้วยโทนเนอร์สูตรปราศจากแอลกอฮอล์ เพื่อขจัดสิ่งตกค้างบนรูขุมขน อันเป็นสาเหตุของสิวอุดตัน และยังช่วยกระชับรุขุมขน และช่วยปรับสภาพผิวหน้าให้พร้อมก่อนการบำรุงในขั้นต่อไปอีกด้วยค่ะ
  • บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ ในช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่มีความชื้นในอากาศค่อนข้างมาก อาจทำให้ผิวแห้ง และขาดความชุ่มชื้นได้ สาว ๆ จึงควรหมั่นบำรุงผิวด้วยการทามอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันผิวแห้งและช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้อยู่กับผิวได้นานยิ่งขึ้นค่ะ
บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
  • ทาครีมกันแดด ถึงแม้ว่าแสงแดดในหน้าฝนจะไม่แรงเท่าแดดในหน้าร้อน เพราะท้องฟ้าดูมืดครึ้มตลอดเวลา แต่จริง ๆ แล้วรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ก็ยังทะลุผ่านก้อนเมฆมาทำร้ายผิวของสาว ๆ ได้อยู่ดี โดยเฉพาะรังสียูวีเอและยูวีบี ที่ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ฝ้า กระ และจุดด่างดำ ดังนั้นสาว ๆ จึงควรทาครีมกันแดดทุกวัน แม้วันนั้นจะมีฝนตกหรือแดดร่มก็ตาม โดยเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำที่มีความบางเบาและไม่เหนียวเหนอะหนะ
  • ไม่ต้องแต่งหน้าเยอะ แม้ว่าปัจจุบันจะมีเครื่องสำอางที่กันน้ำได้ดีเยี่ยมออกมาช่วยให้สาว ๆ สามารถแต่งหน้าได้โดยไม่ต้องกลัวเมคอัพจะเปียกน้ำจนไหลเยิ้มก็ตาม แต่ในช่วงฤดูฝนจะมีความชื้นในอากาศเยอะ ซึ่งมีผลทำให้รูขุมขนกว้างได้ง่าย ๆ กว่าสภาพอากาศแบบปกติ ทางที่ดีสาว ๆ ควรแต่งหน้าแบบเบาบาง โดยใช้เครื่องสำอางหรือรองพื้นที่ไม่หนามากเกินไป เพราะอาจทำให้รูขุมขนอดตัน และเกิดสิวได้ง่ายค่ะ
ไม่ต้องแต่งหน้าเยอะ
  • ขัดสครับผิวและพอกหน้า ความชื้นจากฝนจะทำให้ผิวเกิดการอุดตันได้ง่าย ดังนั้นสาว ๆ จึงควรทำความสะอาดผิวด้วยการขัดผิวเบา ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยขจัดสิ่งอุดตันและขัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกไป และอาจพอกหน้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
  • ดื่มน้ำบ่อย ๆ ในฤดูฝน อากาศจะค่อนข้างเย็น อาจทำให้สาว ๆ หลายคนไม่ค่อยหิวน้ำสักเท่าไรนัก แต่อย่างไรแล้วก็ควรดื่มน้ำบ่อย ๆ วันละ 8-10 แก้ว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเซลล์ผิวในร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งสดใสอีกด้วยค่ะ
วิธีดูแลผิวหน้าฝน ดื่มน้ำบ่อยๆ
  • กินผักผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์ การกินผัก-ผลไม้ และอาหารที่ให้วิตามินหลากหลายชนิด จะช่วยให้ผิวพรรณของสาว ๆ ดูสดใสมีสุขภาพดี มีน้ำมีนวล และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการเป็นไข้หวัดได้ดีอีกด้วย เพื่อการดูแลผิวให้มีสุขภาพดีตลอดช่วงหน้าฝนนี้ สาว ๆ ทั้งหลายก็อย่าลืมนำวิธีดูแลผิวที่เรานำมาฝากนี้ไปใช้กันนะคะ คราวนี้ต่อให้ฝนจะตกบ่อยแค่ไหน แค่มี วิธีดูแลผิวหน้าฝน ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีผิวสวยสดใสของเราแล้วล่ะค่ะ ^_^
วิธีดูแลผิวหน้าฝน กินผักผลไม้

ข้อมูล วิธีดูแลผิวหน้าฝน จาก : fashion.mithilaconnect.com, rewardme.in, skymetweather.com

contact ilc

หากท่านสนใจสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผลิตแอลกอฮอล์เจล ผลิตสินค้าเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์สำหรับผิว หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในแบรนด์ของตัวเอง สามารถขอคำปรึกษาได้ที่นี่ CLICK!!!
FB:ILC-International Laboratories
Tel : 02-346-8222-4
E-mail : export@ilc-cosmetic.com
j_bussaba@ilc-cosmetic.com
www.ilc-cosmetic.com
Line: @ilc_cosmetic

error: Content is protected !!